Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts
Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts

Saturday 23 September 2023

20plus club (4)

The Christchurch Press อาคารถูกรื้อถอนหลังแผ่นดินไหว 2554 ทำให้เสียหาย

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อแม่เปลี่ยนตลอดไป

เค้าคงรู้สึกว่าผมปฏิเสธความรักจากเค้า

และเบือนหน้าไม่สนใจคำสั่งสอนอีกด้วย

เราต่อสู้กันในโหมดเอาหัวชนกำแพงไปอีกหลายปี

พ่อแม่พยายามดึงผมกลับไปที่อ้อมกอดเค้า แต่ผมกระด้างกระเดื่อง ยืนกรานว่าต้องคบกับเชอวอน ให้ได้

เค้าอยากให้ผมเจอสาวสวยรุ่นเดียวกัน วางแผนชีวิตและสร้างครอบครัวด้วยกันเหมือนที่คนธรรมดาเค้าทำกั

ผมดื้อรั้นไม่ยอมฟังจนครอบครัวแตกร้าวกัน

คุยกันเมื่อไรเราต้องทะเลาะกันทุกที

พ่อชอบสั่งสอนผมโดยเขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์

ผมได้รับ จม เค้าเมื่อไรผมจะทิ้งขว้างมันทันที เพราะเนื้อหามันฝังเจ็บลึกในใจ

ถ้าผมจำไม่ผิด เค้าเขียนในทำนองว่า

'ผมและแม่ผิดหวังมากกับการตัดสินใจของแก คิดตื้นๆแบบนี้อาจจะมีผลกระทบกับอนาคตอันไกลของแกด้วย ขอทบทวนอีกที'

ผมยอมรับเอง ผมเอาแต่ความสุขเข้าตัวเองตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่เจอความรักในชีวิต น่าเสียดายที่คู่รักของเราต้องเป็นคนที่พ่อแม่ไม่ชอบใจเอาเสียเลย

เชอวอนช่วยให้กำลังใจ ถ้าพ่อแม่วางเครื่องกีดขวางไว้ข้างหน้าพวกเรา เราต้องเอาชนะอุปสรรคนั้นไปให้ได้

เค้าทุ่มเทยิ่งขึ้นกับการสู้แทนเรา เพราะถึงยังไงเรารักกัน คนอื่นไม่เกี่ยว

ความสัมพันธ์ระหว่างผมและพ่อแม่พังทลายต่อเนื่องจนผมรู้สึกว่า เราต้องเลือกระหว่างแฟนและครอบครัวเสียแล้ว

ทุกอย่างขาดสะบั้นไม่เป็นชิ้นดี แต่รู้มั้ยว่า ผมไม่รู้สึกเสียดายมากนักหรอก เราเอาแต่สู้อย่างเดียว

ผมกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวก็จริง แต่มีน้อยครั้งที่ผมยอมรับว่า ชีวิตคู่กับเชอวอน ไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอก

จะว่าไปแล้ว เราไม่ค่อยมีตังค์ อีกทั้งตามเวลาที่ผ่านไป ผมชักจะเบื่อกับชีวิตคู่แล้วด้วย แต่ไม่ยอมบอกใคร

มีครั้งหนึ่งผมทะเลาะกับพ่อแม่อย่างแรง จนผมคว่ำบาตรเลิกคุยกับทั้งครอบครัว ทั้งพ่อแม่และน้องๆ ด้วยเป็นเวลา 6 เดือน

ผมไม่รับโทรศัพท์จากใครทั้งสิ้น

แม่ไปหาผมที่ออฟฟิศเพื่อจะหาทางเคลียร์ปัญหา แต่ผมไม่ยอมเจอเค้า

ผมฝากบอก รปภ ว่าถ้าแม่ผมมาหา ห้ามปล่อยให้เค้าเข้าประตูมาเลย

now, see here

Friday 22 September 2023

20plus club (3)

 ผมและแฟนสมัยเพิ่งเริ่มคบกันแรกๆ
ขอย้อนฉากกลับไปที่ New Zealand หน่อย

ก่อนจะบินมาถึงเมืองไทย รอบที่สอง ปี 2000 นั้น

ผมปิดม่านชีวิตคู่กับแฟนผู้หญิง ชื่อ เชอวอน ที่คบหากันมานานกว่า 15 ปี

ความสัมพันธ์ของเราเริ่มตั้งแต่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ในปี 1984 ถ้าจำไม่ผิด

ตอนนั้นยังอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ไม่มีประสบการณ์กับผู้หญิงมาก่อน

และได้เจอเชอวอนที่งานเลี้ยงเปิดเทอมปีไหม่ที่พ่อแม่จัดขึ้น

เค้ามางานที่บ้านเรา
และเชอวอนได้ร่วมสังสรรค์ด้วยกันในฐานะเป็นพนักงานทั่วไปไม่ต่างกับคนอื่น

แต่เราดันไปสบตากัน พูดคุยทะเล้นๆ หรือจีบกันยังไงเลยไม่รู้ ถึงปิ๊งกันได้

เชอวอนทำงานที่หอพักของ รร ของพ่อเรานี่เอง

รับหน้าที่เป็นพยาบาลคอยเฝ้าดูแลเด็กนักเรียนกินนอนจาก ตวจ ที่นอนพักอยู่ในช่วงเปิดเทอม

ผมเรียนจบที่ รร เดียวกัน แต่ในปีก่อนนั้น

ไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อนเพราะผมเรียนที่ รร นั้นแค่ 18 เดือนก่อนจะจบการศึกษา
และเชอวอนเองเข้ารับตำแหน่งนี้ไม่นานเหมือนกัน

ที่จริงแล้วตอนที่เราเจอกันผมเข้าเรียนที่มหาลัยปี1แล้ว

แต่ขาดประสบการณ์ชีวิตและยังคิดเหมือนเด็กอยู่

ครอบครัวเราเพิ่งย้ายไปอาศัยอยู่ที่ New Zealand จากประเทศบ้านเกิด คือ
Australia ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน เมื่อ 18 เดือนก่อน

เนื่องจากเชอวอนยังทำงานให้พ่อนั้น พอเราเริ่มคบหาดูใจเป็นแฟนกัน
เราต้องเป็นอีแอบ ไปไหนมาไหนที่เราต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ตลอด

เพราะไม่อยากให้พ่อรับรู้ว่าลูกชายคนโตเค้าดันไปคบกับลูกจ้างเค้า ที่อายุแก่กว่าเราตั้ง
15 ปี

พ่อจำหน้าผู้หญิงคนนี้ได้ดี

พวกครูที่เค้าจ้าง ตามบุคลิกลักษณะดูออกเงียบเชย ไม่มีอะไรสะดุดตา

เทียบกันกับตัวเชอวอนไม่ได้ที่มีแสงแวววับดังดาวประกาย

เค้าชอบแต่งตัวฉูดฉาดพูดเสียงดัง เรียกความสนใจจากผู้ชาย

เราถึงสังเกตุเห็นตัวเค้าและชอบใจ

ตอนแรกเราลังเลใจนิดหน่อยเพราะรู้ว่าพ่อแม่ไม่น่าจะยอมใจให้คบกัน

แต่พอเราเริ่มรักกันผมมีความรูสึกว่าเราต้องเจอกันให้ได้

บ้านของพ่อแม่อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนที่พ่อทำงาน

แค่เดินผ่านโบสเล็กๆของ รร
ที่ล้อมรอบไปด้วยสนามหญ้าข้ามสะพานที่ทอดล้ำลำน้ำแคบๆ เราจะถึงหัวใจของ รร
แล้ว

เดินต่อไป อีก100 เมตรจะถึงหอพักของ รร ด้วย

เชอวอนและนักเรียนกินนอนก็อยู่ร่วมกันในตึกนี้แต่คนละที่กัน

เชอวอนพักอยู่ที่ห้องชั้นลอย ซึ่งยื่นออกเหนือจากห้องนอนของเด็กนักเรียน

เราทั้งคู่ชอบคบหากันแบบบ้าๆบอๆ สมัยเริ่มแรกที่รักกันนั้น

พอตอนมืดเข้าผมชอบแอบดอดไปหาเค้าที่ห้องพัก โดยเราต้องเดินหลบๆซ่อนๆ
ตัวตลอดเพราะกลัวว่าเด็กนักเรียนจะพบเห็นเข้า

ผมนอนแยกจากครอบครัวในแฟลตเล็กๆหลังบ้าน

บางคืนเชอวอนจะเล่นเสี่ยงเช่นกัน เดินหลบๆไปหาผมที่แฟลตนั้น
นั่งคุยกันสบายๆได้รู้จักกัน
(ผมไม่กล้าจับตัวเล่นเซ็กส์กับเค้าเป็นเวลาหลายเดือนเลย)

มีคืนหนึ่งที่พ่อเดินมาหาผมที่แฟลตโดยใช้ประตูข้างใน พอได้ยินพ่อเรียกชื่อผม

เชอวอนซึ่งพอดีแอบมาหาผมก่อน

ต้องวิ่งซ่อนตัวไว้ในห้องน้ำ และเก็บตัวเงียบๆ รอให้พ่อจะเดินกลับไปที่ตัวบ้าน

โชคดีที่ไม่ได้เจอกัน

ผ่านไป 6 เดือน

โป๊ะแตกเมื่อหัวหน้าหอพักของเชอวอนได้รู้ข่าวว่าเราแอบคบเป็นแฟนกัน

เค้ารีบไปแจ้งพ่อ

พ่อตกตะลึง ไม่เชื่อว่าลูกชายจะบ้าขนาดนั้น

พ่อแม่สงสัยว่าผมมีใจรักเพราะเห็นนิสัยเราเปลี่ยนไป
แต่ไม่เคยคิดว่าเราดันไปคบกับ ผู้หญิงอายุ 30-plus คนนี้

พ่อเรียก เชอวอน เข้าไปพบ และชวนเค้าให้ลาออกจาก รร ทันที
เพื่อจะช่วยรักษาชื่อเสียงของ รร

พ่อไม่อยากให้เรื่องเปิดโป้งแพร่หลาย เดี๋ยวจะกลายเป็น talk of the town

เชอวอนตกลงลาออกโดยไม่ได้รับค่าชดเชยอะไรมาก

แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นี้หรอก
เมื่อผมทำตัวทะลึ่งตั้งหน้าพาเค้าไปเจอพ่อแม่
เปิดตัวกันที่บ้านเราเป็นครั้งแรก

หัวใจเต้นแรงจนหน้าอกแถบจะแตก

ผมยืนยันว่าเรารักกันจริง และผมหมายหมั่นใจว่าจะย้ายออกจากบ้าน
และพาเชอวอนไปหาที่พักอยู่ร่วมกันข้างนอก

'เรายังรักกันและอยากคบกันต่อ เห็นด้วยหรือไม่ผมไม่แคร์' ผมกล้าพูดออกมา

พ่อแม่ตกตะลึงเป็นไก่ตาแตกซะอีก

'แกคิดผิดแล้ว แกพึ่งเริ่มต้นชีวิตจะไปอยู่กับ ผู้หญิง ที่แก่กว่า 15
ปีทำไม ไม่เอาคนรุ่นเดียวกันเหรอ แกยังเป็นเด็กอยู่และแทบไม่รู้จักกัน'
เค้าบอกผม

ผมยีนยันว่าจะคบกันต่อ

พ่อหันขวับไปหาเชอวอนแล้วถามว่า

'เอาลูกเราไปทำไม คุณจะให้อะไรกับเค้า อ้างว่ารักกันแต่ไม่มีงานทำ
คุณไปหาคนรุ่นเดียวกันไม่ได้เหรอ นิสัยคุณเท่ากับว่าคุณชอบกินเด็ก'

ผมจำไม่ได้ว่าเชอวอนตอบยังไงนอกจากว่า

'ไมเคิลเป็นคนใจดี'

นึกถึงแล้วมันฟังใจเสาะเหลือเกิน แต่ใครจะไปลงโทษเค้า ในสายตาพ่อแม่เค้าไม่มีจุดยืน

คุยกันเสร็จผมขอตัวเก็บเสื้อผ้าและเดินออกจากบ้านไปเลย

จากนี้เราต้องไปหาที่พักที่นอนด้วยกัน

เราได้เจอห้องพักแห่งหนึ่งในบ้านแบ่งซีก สภาพห้องก็สุดดูโทรมแต่ราคาถูกแต่อยู่ในใจกลางเมือง

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องเลี้ยงตัวเอง
เพราะเรากลับไปขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ไม่ได้แล้ว

เชอวอนหางานใหม่ให้ทำได้ทันที ไม่ยังนั้นเราคงไม่รอดแน่
เพราะผมยังเรียนอยู่ รายได้ยังน้อย

ตอนแรกเค้าได้งานแนวค้าขาย ได้เงินเดือนดี และเดินทางต่าง ตจว บ่อยด้วย

ต่อมาก็เปลี่ยนตัวเป็นผู้ช่วยหมอที่คลินิกท้องถิ่น

แต่ถึงแม้ว่าผมอัพสเตตัสตัวเองโดยได้มี ผู้หญิง ค่อยเลี้ยงแล้ว
แต่ชีวิตผมไม่ต่างจากนักศึกษาคนอื่นทั่วไปมากนัก

ผมยังต้องไปหางานทำหลายที่สารพัด เช่น ล้างจานที่ร้านอาหาร แบกของ ฯลฯ
เพื่อประทังชีวิตคู่ของเรา

เพราะตังค์ไม่พอใช้

สภาวะเงินทองของเราก็แย่ๆ แบบนี้ตลอดเกือบทั้ง 15 ปีที่เราคบกันมา

พอเราเริ่มคบกันจริงๆ เชอวอนบอกว่าจะไม่รับงาน full-time แล้ว

เค้าชอบเป็น lady of leisure มากกว่า

เงินเดือนถึงจะน้อย

แทนที่จะเป็น sugar mummy จริงเค้ากลายเป็นน้ำหนักที่เราต้องแบกรับไว้เอง

หลังเรียนมาหาลัยจบ ผมเริ่มทำงานเป็นนักข่าวแล้ว
แต่ประสบการณ์งานยังน้อยอยู่เลย เงินเดือนก็ต่ำเหมือนกัน

now, see here

20plus club (2)

รถติดที่สยามสแควร์สมัยเพิ่งแรกมา
เดือนสิงหาคม ปี 2000

ผมบินออกจากประเทศบ้านเก่าที่เคยพักอาศัยอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์

มาสู่เมืองไทยเพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

หลังทิ้งงานเก่า เลิกกับแฟนแก่

ลาก่อนครอบครัว และหวังว่า ไอ้โรคซึมเศร้าที่กวนประสาทหัวผมหลายปีจะหายไปด้วย

ผมบินมาจาก Christchurch

ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินที่ กทม หลังจากมาเที่ยวครั้งแรกไม่กี่เดือนก่อนหน้า

โดยไม่รู้ว่าจะมีที่พักหลับนอนที่ไทยไปอีกนานเท่าไร เพราะไม่ได้วางแผนอะไร
และยังไม่ได้เรียกประเทศไหนว่า home ให้แน่ชัด

รู้แต่ว่าเรารักเมืองไทยตั้งแต่มาเที่ยวสามเดือนก่อนหน้านั้น

ผมและเพื่อนรุ่นน้อง ชื่อ  ริชาร์ด พากันมาเที่ยวเมืองไทยด้วยกัน

ริชาร์ดพึ่งเรียนจบที่เมือง Christchurch

เค้าจบปริญญานิติศาสตร์ พอดีผมพึ่งเลิกทำงานเป็นนักข่าวที่ the
Christchurch Press พร้อมกันในเดือนเมษายน

และไม่รู้จะไปไหนต่อดี

น้องเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ part-time ที่ออฟฟิศผม

เมื่อริชาร์ดได้รู้ว่าผมกำลังลาออก เค้าชวนผมไปเที่ยวเมืองไทยเป็นเพื่อนด้วยกัน

'เที่ยวเสร็จผมจะหางานทำที่ลอนดอนต่อ' น้องบอกเราแบบนี้

เราไปเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆอยู่ทั้งที่ กทม และ ภูเก็ต ในเดือนเมษายน

พอถึง ภูเก็ต ริชาร์ดได้บทเรียนชีวิตไทยๆ เมื่อเค้าได้เจอกะเทยแสบๆ
ที่ขโมยเงินเค้าและวิ่งหนีไป เป็นหลายหมื่นบาทเลย

'ผมคิดว่าเค้าเป็น ผู้หญิง ธรรมดา และพาเค้าไปนอน
เมื่อผมได้จับว่าที่จริงแล้วเค้าเป็นผู้ชายที่ยังไม่ได้แปลงเพศ
ผมก็ช็อกและร้องตะโกนออกมา
ท่ามกลางความชุลมุนนั้นน้องกะเทยฉกเงินผมและวิ่งหนี้ไป' น้องบอกผม

แม่ริชาร์ดต้องโอนเงินมาเพิ่มให้เค้า พร้อมกำชับให้เค้าระวังตัวให้มากขึ้นด้วย

'ฉันเลี้ยงเค้าคนเดียว ไม่ค่อยมีตังค์ แม่บอกผมทางโทรศัพท์ด้วยใจเหนื่อยล้า

ต่อมาพอถึงเวลาแยกทางกัน น้องริชาร์ดบินไปที่อังกฤษต่อ
ส่วนผมก็บินกลับไปที่ประเทศบ้านเก่าที่เคยพักอาศัยอยู่เตรียมตัวหางานทำใหม่

แต่หลังจากได้ลิ้มรสชาติชีวิตที่เมืองไทยในการไปเที่ยวสองอาทิตย์ก่อน
ผมรู้สึกกระสับกระส่าย ประทับใจเมืองไทยจนไม่อยากอยู่ที่ นิวซีแลนด์ อีกแล้ว

ชีวิตฝรั่งดูจืดชืดเหลือเกิน

ผมเลยมุ่งหน้าไปหางานทำที่ กทม แทน โดยเขียนไปถึง นสพ แห่งหนึ่งที่ กทม

เราได้เห็น นสพ ฉบับนี้ขายอยู่ตอนไปเที่ยว

ผมสอบถามดูว่าเค้ามีงานว่างให้ทำบ้างมั้ย

เพื่อจะได้กลับไปเมืองไทย และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั้น

เค้ารับผมโดยทันทีเลย

ต่อมาฉันบินกลับไปที่ กทม อีกที ตอนเดือนสิงหาคม

ครั้งนี้ ผมมาคนเดียว ไม่มีเพื่อนติดไปด้วย

now, see here

Thursday 21 September 2023

20plus club (1)

เสารถไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์ยุค 2000s
รูปนี้ถ่ายไปที่ถนนราชดำริ ช่วงที่กำลังสร้างสถานีรถไฟฟ้า ปี พ.ศ. 2541

ฝรั่งที่ย้ายมาจากประเทศบ้านเกิด บินมาปักหลักที่เมืองไทย ยาวเกินกว่า 20 ปี อย่างผม

น่าจะรับรางวัล long-stayer's award

โดยเฉพาะพวกขยันขันแข็ง ที่สร้างตัวด้วยมือเปล่า

อาจจะมีเจ้านายไทยจ้างมาทำงาน แต่ไม่มีต้นทุนนอกจากเรี่ยวแรงตัวเอง

วันที่มาถึง อาจจะยังไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน ไม่มีที่พัก มีแต่ความหวังว่า
คงจะเจออนาคตสดใส

ผมเป็นหนึ่งคนในกลุ่มนั้น

ย้ายจาก New Zealand มาตั้ง 23ปี ที่แล้ว
แต่ยังรอรับรับรางวัลที่น่าจะเรียกว่า 20-plus club award อยู่เลย

ใครจะจัดให้

-
ผมชอบจะดูดซึมซับวิถีแห่งชีวิตของชาวไทยจนถ้าเราต้องกลับไปที่โน่นแล้ว
เราคงจะปรับตัวเองเข้ากับคนที่บ้านเกิดยาก

ช่วงเวลานานนี้ที่ผมอาศัยอยู่ที่ไทย  ตัวเราเอง
และประเทศบ้านเราดันมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ จนแทบจำหน้ากันไม่ได้แล้ว

เจอฝรั่งหน้าใหม่ๆ ที่เพิ่งย้ายมาพักที่นี่ เราจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย

เรายืนอยู่ในจุดที่ต่างกัน

เค้าเริ่มเดินทางของเค้า หลังออกจากบ้านอีกไม่นาน

แต่ผมเหยียบย่างเข้าพื้นแผ่นดินไทยก้าวแรกมาเนินนานมากแล้ว และไม่ค่อยอยากนึกถึงอดีต

ฝรั่งหน้าใหม่นั้น คงมีทั้งครอบครัว ญาติ และเพื่อน รออยู่เพื่อที่จะกลับไปที่นั้น

เค้าต้องถามตัวเอง ว่ายอมใจทิ้งสละทุกอย่างมั้ย เพื่อจะสร้างตัวที่อื่นไหม

และถ้าไม่อยากโยนทิ้งทั้งหมด จะเลือกเก็บส่วนไหนที่ดีเอาไว้

เพราะยิ่งอยู่ห่างจากบ้านนานๆ
ความผูกพันของเราที่มีต่อประเทศบ้านเกิดจะยิงจืดจางลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา

อดีตของฝรั่งหน้าใหม่ๆนั้น ส่วนใหญ่จะยังติตอยู่ในใจของเขานั้นเอง

เค้ายังไม่ได้ขุดรากฐานมาปลูกถ่ายที่ไทยทั้งหมดหรอก

เค้าอาจจะรู้สึกลังเลใจ จะทุ่มเทใจกับชีวิตนี้ไหม หรือไม่

ร่างกายเค้าอาจจะอยู่กับเราจริงแต่ใจคงยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก

ถ้าไม่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่จริง คือสร้างตัวจากจุดศูนย์ อย่างที่พวกเราเคยทำ

เค้าอาจจะเลือกกลับบ้านเกิดไปก่อน

อนาคตของเค้าจะรุ่งเรืองมากกว่าถ้าเค้ายังอยู่กับครอบครัว วัฒนธรรม
และลีลาชีวิตที่เค้ารู้จักและเข้าใจมั้ง

ส่วนพวกเราที่เป็นสมาชิก club 20-plus นั้น

ยิ่งห่างจากประเทศบ้านเกิด ก็ยิ่งรู้สึกว่า
เราทิ้งอดีตของเราที่บ้านเก่าเรียบร้อยแล้ว
และไม่ยากกลับไปรื้อร่องรอยของมันด้วย

เราเลือกลงทุนทุกอย่าง ทั้งแรงกายและแรงใจ ที่นี่

ถ้ากลับไปที่บ้านเก่า อย่างน้อยเราจะต้องเริ่มต้นใหม่ อายุเริ่มแก่ขึ้นซะแล้วด้วยสิ จะยังไหวมั้ยละ

เราต้องเตือนใจคนใหม่ๆไว้ก่อนอย่างนี้

ถ้าไม่กลับไปหาครอบครัว ญาติๆ หรือเพื่อนเก่า บ่อยๆ
สักวันเราจะรู้สึกห่างเหินกันแน่นอน

ความจำจะเลือนลางและความรู้สึกที่ดีจะหายไปจนกระทั่งเราจะเกิดขี้เกียจไม่อยากขึ้นเครื่องแล้

เอาไหม ขอบอกอีกด้วย

ถ้าประเทศเราเปลี่ยนแปลง เราต้องเปลี่ยนตามไปด้วยถูกมั้ย

แต่ถ้า 'ประเทศของเรา' กลายเป็นประเทศไทยแทนประเทศบ้านจริง ละก็

เราต้องทำตัวเหมือนกิ่งก่าที่เปลี่ยนสีไปตามพื้นที่ ที่มันอาศัยอยู่เหมือนกันนั้นเอง

พื้นที่ประเทศไทยหรือพื้นที่ประเทศบ้านเกิดยังไงก็ยังเป็นพื้นที่ที่พักอาศัยได้อยู่ดี

คือในฐานะตัวเราถือว่าเมืองไทยกลายเป็นบ้านใหม่ของเราเสียแล้ว
เราต้องยอมให้ประสบการณ์ที่เราเจอกันที่นี่ หล่อหลอมตัวเราเป็นหลัก
ถ้าตั้งใจรักเมืองไทยจริงๆ

เหมือนคนที่เปลี่ยนแปลงความภักดีต่อประเทศเลย

พอถึงวันนั้น เราจะมีเหลือต่อประเทศบ้านเกิดแค่ความทรงจำหรือว่าญาติๆ ที่ยังไม่ลืมตัวเราไป

ส่วนฝรั่งหน้าใหม่นั้น เราคงเข้าใจเค้าในระดับหนึ่ง

ที่ว่า ถ้าเราให้เค้าบอกเล่าว่า ชีวิตที่ประเทศบ้านเกิดของเรา
เปลี่ยนไปยังไงในช่วงเวลา 23 ปีนี้ที่เราไม่อยู่

เค้าคงพูดไม่ออก

เช่นเดียวกับผม

ถ้าเค้าถามว่าชีวิตในเมืองไทยของเราเป็นยังไงเราคงต้องคิดยาว จะเริ่มต้นยังไงดีเนอะ

เพราะเราและประเทศไทยของเราต่างเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากตั้งแต่มาเมื่อ 23 ปีที่แล้ว

ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเจ็บคอ

-
ฝรั่งที่เป็นสมาชิก 20-plus club เลือกปักหลักเมืองไทยด้วยเหตุผลหลากหลาย

บ้างก็หยากหนีสภาพอากาศมืดมนที่ประเทศบ้านเกิดเค้า มาที่ไทยซึ่งแดดออกแรงเกือบทั้งวัน

เช่นชาวอังกฤษที่ชอบบ่นว่าที่บ้านเกิดฝนตกไม่หยุด

บ้างก็ไม่มีงานทำที่ประเทศบ้านเกิด หรือมาเที่ยวไทยแต่ดันไปทำ ผู้หญิงไทย
ท้องและอยากรับผิดชอบ

เลยย้ายมาที่นี่สร้างครอบครัวกั

ส๋วนผม ผมหนีทั้งแฟนเก่าที่นอกใจ ครอบครัวที่ชอบเสือกเรื่องส่วนตัว
และงานที่ผมทำไปแล้วที่ประเทศบ้านเกิดหลายปีจนเบื่อ

now, see here

Tuesday 25 October 2022

Catching up

ดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลยเป็นเวลา 6 เดือนแล้วแต่ไม่ใช่

หลังจากโพสต์ที่แล้วเราดันไปติดโควิดมา ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านนอกจากว่าไปหาหมอ

ติดโควิดเองไม่มีอะไรมาก

มาถึงวันที่ 4 พอตรวจ Covid-19 ด้วย ATK อีกที ทั้งผมกับแฟนผลเป็นลบแล้ว

แต่ในส่วนของ อาการ long Covid ล่ะ

ในเคสผมเป็นอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และไหล่หลุด (อาการแปลกๆที่เกิดจากการไอบ่อย)

เราต้องสู้กับมันเป็นสามเดือน

เราใช้เวลานี้ อัปเดต ปรับ แล้วก็เรียบเรียงโพสต์เก่า ดังต่อไปนี้

บางโพสต์ขยายความยาวเป็นสองเท่าเลย อิอิ

Save my plastic bags!

คลังถุงพลาสติกเก็บไว้ที่บ้าน

 กลับมาที่ กทม นี้เราโชคดี ผู้บริโภคยังมีทางเลือกเอา

จะใช้ถุงพลาสติกหรือไม่ใช้ แล้วแต่จะชอบ
ที่บ้านเรา ผมกักตุนและสะสมถุงพลาสติกไว้เยอะมากเหมือนคนบ้า
เก็บไว้ในถังพลาสติกเป็นกล่องใหญ่ เพราะไม่แน่ สักวันแนวคิด anti-bags
ของ first world eco-fascists ที่ ตปทนั้น
อาจจะแผ่กระจายมาถึงฝั่งชายแดนไทยด้วยก็ได้

อีนกส่องคน

อีนกเอ๋ย มาเยี่ยมเราทำไม

อีนกเป็นตัวละครที่รับบทเป็น guilty conscience โดยเสียงไพเราะตามธรรมชาติของมัน
คือ'คุคุคุคุคุคุคาคาคาคา'
...จะกลายเป็นเสียง
'น้อง น้อง น้องๆ' แทน
เสียงเจี๊ยวจ๊าว พูดพล่ามไม่หยุด
เราอาจจะดูไม่เห็นอกเห็นใจเค้า
แต่ช่างมัน เราต้องเอาตัวรอดไปก่อน

จ๊อกกิ้งเพื่อเจ็บ

วิ่งบนที่ลาด เจ็บหน่อย

อ๋อ เป็นพวกนี้ไง จ็อกกิ้งเพื่อเจ็บ
ผมไม่เคยขยันขนาดนี้ เวลาไปจ็อกกิ้งเลย
วิ่งช้าๆเบาๆ ก็พอแล้ว ไม่อยากเสี่ยงจนกล้ามเนื้อฉีก

ป๊อป ซอยอมร 

น้องป๊อป, ดา
ที่โน่น ผมมารู้ทีหลังว่า
ป็อปเล่นยาจนน็อค
พวกพี่โหดๆ เค้าถือโกาสนี้ ไปแกล้งตัวเค้า แต่เล่นแรงจนเกินไป จนน้องเสียชีวิต
เค้าแกล้งป็อปแบบทารุณ ๆ ในเชิงรับน้องอย่างที่เป็นข่าวดังๆในไทย เกือบทุกปี
เค้าอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น แต่เล่นประหมาทโดยไม่นึกถึงความปลอดภัยหรือให้เกียรติแก่ร่างกายป๊อปเลย



อดีตวงเหล้า

อดีตวงกินเหล้า

ตอนแรกผมไม่ได้เอ๊ะใจในความมุ่งหมายของป้าเล็กที่พยายามดึงให้เราเป็นพ่อแบบนี้
แต่จุดประสงค์จริงๆก็เริมปรากฏชัดเมื่อป้าเล็กออกตัวชวนผมมานั่งร่วมกินกับวงนี้บ่อยขึ้น
'ไมเคิลมาทุกคืนนะ น้องดรีมอยากเจอ' เค้าว่าอย่างนี้
น้องดรีมไม่อยากเจอหรอก เค้ายังเป็นวัยรุ่นแล้วตอนนั้นก็คบกับแฟน
งานของเค้าก็ยุ่งอีก เราต่างคนไม่มีเวลาให้กันและกัน
แต่เค้าตกลงว่าจะรับผมเป็นพ่อ เพราะป้าเล็กแอบขอร้องเค้าก่อนที่ผมมา
ป้าเล็กรู้เลยว่าถ้าผมมานั่งกินเหล้าบ่อย วงจะไม่มีวันขาดแคลนเหล้า เพราะผมมีตังค์

เต่า v คน
Oliver Riddell อายุ 3 ขวบเล่นกับเต่าชื่อ Peter

เต่าของลุงโอลิเวอร์ อายุเยอะจริงๆเปรียบได้เป็นทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 1!เลยที่เดียว
หลังจากเขียนโพส์ตเสร็จแล้วเรียบร้อย เราดันไปเจอข่าวนี้ ที่เกี่ยวกับ
Peter ชื่อเต่าสัตว์เลี้ยงของลุงโอนั้นเอง
เรื่องราวชีวิตเต่า Peter กลายเป็นหนังสือเด็กไปแล้ว (โดยที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน)

Lucky pick
The lucky pick

เมื่อสายตาผมหมดพลังไป เราต้องพึ่งพาอาศัยสายตาของแฟนแทน
อย่างที่เราไปตอนไปทำตัว pick หาย จริงมั้ย
แต่ความรักที่เรามีให้กันเป็นยังนี้ด้วยรืเปล่า
คือมีจำนวนจำกัดมั้ย
หรือความรักอาจจะต่างกันออกไป
เช่นตราบใดที่เรายังมีใจให้กัน
เอาใจใส่ และเทคแคร์กันดีพอ
ความรักไม่ต้องลดลงต่อการผ่านเวลาก็ได้
ไม่เหมือนพลังสายตาหรือปริมาณน้ำในแก้ว

เดินเข้าซอยหาที่แอบขี้

เอาใช้ใบไม้เป็นกระดาษ?

ผมคิดในใจว่า  เพื่อนบ้านที่เห็นเราเดินตามซอย คงไม่สงสัยอะไร

เดินไปพลางก็ถ่ายรูปไป ก็เป็นเรื่องธรรมดา

บ้านในรูปแปะข้างบนตกเป็นเป้าหมายอันดับแรกที่เราจับตาดู

ผมเดินอ้อมไปหลายรอบแต่ไม่เจอที่ให้แอบทำภาระกิจเลย ที่ที่เราคิดว่าน่าะจะเหมาะรับของขวัญของเรา

A criminal past
A Kiwi jail cell

น้องน่าสงสาร น้องไม่ใช่คนเลวอย่างที่สังคมชอบคิด

ผมชอบขอดูถุงปัสสาวะที่ติดขาเค้าเล่นๆ น้องจะได้ชินกับมัน และยอมรับสภาพตัวเองได้

ไม่ต้องรู้สึกอับอายแล้วเพราะหมอบอกว่า
เค้าต้องอยู่กับข้อบกพร่องนี้ที่ได้รับจากการบาดเจ็บนั้นตลอดชีวิต
รักษาให้หายไม่ได้อีกแล้ว

ตอนนั้นน้องโสด ผมหวังว่า สักวันจะได้เจอกับผู้หญิงที่เข้าใจและรักเค้าได้

และเรียกเค้ากลับมาให้เป็นคนดีได้จนสำเร็จ

Friday 11 March 2022

ปิดสวิทช์ไม่เป็น

 

สวัสดีตอนเช้าจากวิทยุ!

ได้ยินเสียงพูดเบาๆทุกครั้งที่เดินไปใกล้เครื่องวิทยุนาฬิกา
ที่ตั้งอยู่หัวเตียง
เมื่อเช้าก็เช่นกัน มีเสียงผู้ชายสองคนพูดคุยกันเรื่องอะไรไม่รู้
จนผมเริ่มสงสัย
เลยหยิบเอามาฟังดู ก็ได้ยินเสียงแว่วๆอีก
แต่นี่ไม่ไช่เสียงนอกบ้านที่เล็ดลอดเข้าทางหน้าต่าง
หรือเสียง ทีวี หรอก
เพราะเราพึ่งตื่นมา ยังมืดๆอยู่เลยประมาณตีห้า
ผมยังยืนจับเครื่องอยู่จนเผลอนึกว่า
เราเกิดอาการหูแว่วรึป่าว
เป็นโรคอารมณ์สองขั้วหรือโรคไบโพลาร์
เหมือนเราเป็นคนบ้าซะแล้ว
และมีคนตัวเล็กๆแอบนั่งบนไหล่ ค่อยเป่าหูให้ผมไปก่อเรื่องร้ายแก่โลก
เอ๊ะ ใครหว่า
พอเอาเครื่องไปแนบติตหู อ้อ เป็นเสียงวิทยุนั้นเอง
ที่น่าจะลืมเปิดทิ้งไว้นานแล้วโดยเราไม่รู้ตัว
เริ่มเมื่อไรกันแน่
ผมฟังวิทยุนี้ประจำในช่วงการเลือกตั้งสมัยที่แล้ว
ที่ขึ้น วันที่ 29 เดือนมีนา 2019
ตั้งแต่นั้นไม่ค่อยได้รับฟัง
นานๆเปิดฟังที
ครั้งล่าสุดน่าจะเป็นปีที่แล้วมั้ง
เพราะไอ้ปุมเปิดปิดวิทยุแข็งทื้อ ขยับยาก
กดถี่ๆ ก็ไม่ยอมปิดสักที
เลยไม่จงใจอยากจะเปิดฟังใช้อีก
แต่นี่ผ่านไป1ปี แล้วที่เสียงยังออกมาทั้งวัน ทั้งคืน ไม่มีวักเว้นเลย
ผมไม่ผิดสังเกตุอะไรเลย
เป็นไปได้ยังไง
ผมเคยได้ยินคนพูดในห้องนอนมาก่อนก็จริง
แต่เสียงเบาจนเราคิดเผินว่าน่าจะเป็นแมลงบินว่อนข้างนอก
แต่เรายังต้องถามตัวเอง ทำไมไม่สังเกตุให้ดีกว่านี้บ้าง
เครื่องเปิดทิ้งแบบนี้จะดูดไฟฟ้าบ้านโดยผมไม่รู้เรื่อง
ทุกเช้าผมรีบลุกขึ้น ไม่เถลไถล เพราะต้องแย่งชิงเข้าห้องน้ำก่อนแฟนจะตื่นเข้ามาใช้เอง
เลยไม่มีโอกาศได้ยินเสียงอะไรมาก
และพอเข้านอน ทีวีที่ห้องรับแขกนอกห้องนอนเรา ก็ยังเปิดเบาๆจนกลบเสียงวิทยุหัวเตียงเรา
โอเค
ที่นี้เราต้องสู้กับตัววิทยุอีกรอบ
จัดการกับมันให้ดี
ห้ามเสียงเล็ดลอดออกมาเด็ดขาด
และที่สำคัญห้ามให้ little green men วางแผนร้ายเข้ามาหัวผมเวลานอนหลับอีก
สุดท้ายก็กดปุ่มปิดเสียงได้สนิท
ไม่อยากเจอเซอร์ไพรส์ตอนเช้าอีก
หลังจากที่เราจับความโง่ตัวเอง คือปิดสวิทช์ไม่เป็น
และปล่อยคนในเครื่องคุยกับเราเป็นนาน
โดยแก้ที่ตัววิทยุนั้นเอง
ผมวางเครื่องกลับไว้ที่เดิม
คิดดู เราเปลืองค่าไฟห้องนอนเราเป็นปี
แก้เสร็จแล้วค่าไฟฟ้าที่ห้องจะลดลงบ้างมั้ย
ต้องลุ้นๆดู

Sunday 18 October 2020

Maskless in Bangkok (part 6, final)

 VOA asks: หน้ากากสำหรับวิถีชีวิตใหม่ แต่ทำไมบางคนไม่อยากทำตาม? Why indeed!
     
ผู้นำนักการเมืองจะว่ายังไงก็แล้วแต่
แต่คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าเราต้องปรับจูนชีวิตให้เข้ากับไวรัสนี้ได้แล้ว
ไม่ใช่หาที่ลบโดยปิดบ้าน ปิดเศรษฐกิจ ปิดท้องฟ้า
ในช่วงนี่ที่เรายังรอการพัฒนาวัคซีนอยู่
ยังไงก็ตามผู้เชียวชาญบอกว่า วัคซีนจะไม่สามารถรักษาได้อย่างมหัศจรรย์
เพราะผลวัคซีนอาจจะเข้าไม่ทั่วถึง
สมัยนี้ยังมีหลายคนต่อต้านการฉีดวัคซีนด้วย
-
แต่ในมุมบวก อัตราคนตายจากไวรัสได้ลดลงจากตอนแรก เพราะเรารักษาผู้ป่วยได้ดีขึ้น
และผู้ที่เสียชีวิตจากไวรัสนี้ ส่วนใหญ่มีอายุมากและมีโรคอื่นแทรกซ้อนด้วย
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนเปลี่ยนความคิด เค้ายังเชื่อว่า
เพื่อสร้างความต้านทานต่อไวรัสเราต้องสัมผัสกับมันมากขึ้นต่างหาก
กลับลำกับแนวคิดตอนแรกๆ ที่ให้เรากาที่หลบอย่างเดียว
พวกเขาแนะนำให้เราแยกผู้สูงอายุออกไป ให้อยู่ใต้มาตรการ lockdown
อย่างเมื่อก่อน และบังคับให้คนอื่น ๆ ใช้ชีวิตปกติเพื่อจะเกิดความ herd
immunity
-
ผ่านไปแล้วหลายเดือนตั้งแต่ทางรัฐสั่งให้ประเทศเข้าสู่ lockdown
ผมปล่อยตัวหน่อย
ในการรับมือและ ปฏิบัติตัวกับ lockdown นั้น
เพราะไม่ค่อยมั่นใจในระบบนี้เป็นหลายๆอย่าง
ถ้าฉันยังสวมหน้ากากอนามัย ก็เท่ากับว่าผมซื้อตั๋วเข้าสู่สังคมที่ 'ปลอดภัย'
ในสายตาพวกนั้นที่ยังเคร่งเครียดอยู่เรื่องนี้
ผู้คนจะมองว่าฉันเป็นคนที่คล้อยตามพวกเขา แล้วคงจะสบายใจในระดับหนึ่ง
ผมจะยอมใจทำเพื่อเค้าเท่านั้น
ฉันจะทำเพื่อรณรงค์ต่อต้านไวรัส แต่ใน space ส่วนตัวก็ยังคงหาโอกาสไม่สวมใส่ด้วย
(เช่นเวลาอยู่คนเดียว)
และค่อยส่งสัญญาณให้เพื่อนคนไทยรู้ว่าถึงเวลาที่เราจะเริ่มใช้ชีวิตเข้ากับไวรัสนี้ไปแล้ว
จุดยืนของฉันปักหลักอยู่ที่เศรษฐกิจ
เราต้องเริ่มซ่อมแซมและช่วยมันฟื้นขึ้นบ้าง ถึงจะเจอเสี่ยงติดโรคก็ตาม
เพราะไวรัสไม่แรงอย่างเท่าที่คนคิดในตอนแรก และที่ยิ่งกว่านี้ คุนถาพ
ชีวิตคนสำคัญมากกว่า                      

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม