Showing posts with label บ้านต่างประเทศ. Show all posts
Showing posts with label บ้านต่างประเทศ. Show all posts

Friday, 28 March 2025

Blast from the past (part 1)

Jack's Point golf club, with the Remarkables range

"คุณเคยมาที่นี่เมื่อก่อนนี้," ผู้จัดการร้านอาหารกล่าวอย่
างเป็นนัย

ร้านอาหารนี้เป็นหัวใจหลักของสนามกอล์ฟและโครงการหมู่บ้านหรูใกล้กับควีนส์ทาวน์ ซึ่งเป็นที่ ที่พ่อแม่ของฉันได้ซื้อบ้านเอาไว้

ผู้จัดการร้านอาหารซึ่งเป็นชาวโปแลนด์ และได้ดูแลพนักงานที่มีความหลากหลายเชื้อชาติ รวมถึงชาวเอเชียหลายคนที่ทำงานในครัวหรือเสิร์ฟอาหาร เขาบอกเราอย่างภาคภูมิใจ

เขาได้กล่าวคำทักทายและอำลาลูกค้าที่มาทานอาหารที่ร้าน ซึ่งติดกับร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟและแฟชั่น เหมือนมืออาชีพ
The golf club at Jack's Point

ในขณะที่ฉันเคยมาที่นี่เมื่อก่อนก็จริง แต่ปีนี้เป็นการมาเยือนที่นี้อีกครั้งในรอบ 10 ปี

ครั้งสุดท้ายที่ฉันมา พ่อแม่ของฉันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ที่โครงการหมู่บ้านนั้นที่เรียกว่า แจ็คพอยต์ (Jack's Point) ซึ่งห่างออกจากสนามกอล์ฟไปประมาณห้านาที และถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขา Remarkables

สมัยนั้นยังพัฒนาไม่มากนัก และพวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เขามาอยู่อาศัยเป็นกลุ่มแรก ๆ ซึ่งแตกต่างจากวันนี้ที่ผ่านมาแล้ว10 ปี เมื่อฉันเห็นบ้านหลายร้อยหลังตั้งอยู่ในเนินเขา

บ้านพวกนั้นสามารถมองลงไปยังที่ร้านอาหารสนามกอล์ฟและสนามหญ้าที่ทอดยาวลงไปถึงทะเลสาบวาคาติปู Wakatipu ด้านล่างนั้น

ก่อนหน้านี้ ขณะที่รออาหารกลางวัน ฉันนั่งอยู่บนโครงสร้างไม้เล็ก ๆ ที่ยื่นออกไปในทะเลสาบขนาดใหญ่ด้านนอกของร้านอาหาร

ฉันจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราได้มาเยือน: พ่อแม่ของฉัน น้องสาวของฉัน ลูกๆของเขาและฉันนั่งที่โต๊ะข้างนอกเพื่อทานอาหารกลางวัน หลานชายและหลานสาวตัวน้อยของฉันวิ่งเล่นอย่างมีความสุข ขณะที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของชีวิต

วันนี้มีเพียงพ่อ แม่ และเรามาทานอาหารในร่ม แม้ว่าฉันจะได้พบกับน้องสาวของฉันในภายหลังของสัปดาห์นี้ที่วานากา Wanaka ซึ่งน้องสาวคนโตได้ซื้อบ้านหลังใหญ่เอาไว้อยู่แถวนั้น

ลูก ๆ ของพวกเขา ซึ่งเป็นเด็กที่วิ่งเล่นกันเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนี้โตขึ้นกันหมดแล้ว โดยมีเพียงคนเดียวที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียน ส่วนคนอื่น ๆ กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยหรือได้เข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว
Side view of the golf club at Jack's Point

พ่อแม่บอกฉันในภายหลังว่า ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเรา และเทือก Southern Alps ในนิวซีแลนด์นั้นย้อนไปไกลกว่าที่ฉันคิดไว้

"มากกว่า 40 ปีที่แล้ว เราเคยไปเที่ยวนิวซีแลนด์ครั้งแรก พวกแกยังเป็นเด็กเล็กอยู่เลย เรานั่งเรือไปทานอาหารกลางวันที่วอลเตอร์พีค ซึ่งคุณสามารถเห็นได้ทางตะวันตกของทะเลสาบนี้" พ่อแม่กล่าว

"เราชอบนิวซีแลนด์มากจนตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980," เขาเสริม เมื่อเราสลับชีวิตเก่าในเมืองซิดนีย์กับชีวิตใหม่ในไครสต์เชิร์ชนิวซีแลนด์  ซึ่งห่างจากควีนส์ทาวน์ประมาณหกชั่วโมง

เพื่อนชาวโปแลนด์ของฉันพูดถูก: ฉันเคยไปที่นั่นมาก่อน
The jetty where I did my musing
ขณะที่ฉันนั่งมองทะเลสาบ ฉันอาจจะมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในทริปล่องเรือครั้งนั้น: เด็กชายวัยรุ่นกลางคนที่ไม่สามารถคาดคิดได้ในตอนนั้นว่าชีวิตครอบครัวเขาจะยังคงเกี่ยวพันกับ the Southern Lakes District ได้ต่อไปอีกหลายทศวรรษ

น้องสาวคนโตของฉันได้ซื้อบ้านหลังที่สองในวานากา Wanaka ซึ่งอยู่ห่างจากควีนส์ทาวน์ประมาณ 90 นาที โดยเธอหวังว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั่นภายในสิ้นปี จากบ้านหลักของเธอในออคแลนด์ Auckland

น้องสาวอีกคนของฉันอาศัยอยู่ในเมืองดันนีดิน Dunedin ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 3.5 ชั่วโมง แต่เธอไปสกีแถวนี้ เป็นประจำ ซึ่งเธอรู้จักดี

ครอบครัว และฉันได้จัดกิจกรรมมากมายในช่วง 10 วันที่ฉันอยู่ที่นั่น น้องสาว H ซึ่งชอบการออกกำลังกาย พาฉันไปวิ่งตามเส้นทางยาวตามป่าและเดินขึ้นทางที่เป็นเนินสูง

นอกนั้นฉันได้ลองใช้จักรยานไฟฟ้าเป็นครั้งแรกบนเนินเขารอบๆ บ้านของน้องสาว S ในวานากา Wanaka

ในวันที่ได้ขับรถไปเที่ยวแถวนั้น เราได้ไปเยี่ยมชมเมืองแอโร่ว์ทาวน์ Arrowtown ที่มีประวัติศาสตร์  และขับรถผ่านสนามกอล์ฟมิลล์บรูค Milford Brook

เราลองตกปลาแซลมอนที่บ่อเลี้ยงปลา ซึ่งอยู่ในร้านอาหารที่เค้าก็จัดการทำอาหารจากปลาแซลมอนตัวนั้นที่ลูกค้าตกได้เองให้ด้วย ที่ในโครงการเดียวกันที่ ชื่อฮุค Hook (โชคร้ายที่เราตกปลาไม่ได้)

Lake Wanaka
และเวลาอยากเสพบรรยากาศความเงียบสงบ เราจะขับรถไปเที่ยวที่ชายหาดมีกรวดทรายที่สวยงาม ริมทะเลสาบฮาเวีย Hawea อีก

Sister H, Mum out for a walk
น้องสาว H รู้จักพื้นที่เหล่านี้ดี และให้ข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนๆ ที่เธอรู้จัก สถานที่ ที่เธอไปเมื่ออยู่ในเมือง

พ่อแม่ก็ได้มีส่วนร่วมในพื้นที่นี้ตั้งแต่ย้ายมา เช่นเดียวกับน้องสาว S ตั้งแต่เธอซื้อบ้านในวานากาเมื่อไม่นานมานี้

นั่นทำให้ฉันรู้สึกเป็นคนแปลกๆ แล้วทำไมฉันถึงไม่ชอบเมืองรีสอร์ทสกีและทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงามอย่างพวกเค้า?

now, see here

Blast from the past (2, final)

Old news clippings of mine

"เรามีกล่องเก็บเอกสารเก่าของลูกอยู่ที่นี่ซึ่งได้เจอตอนในระหว่างการย้ายบ้านของเรา"

นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่ของฉันพูดในระหว่างการโทรหาผ่าน Google Meet เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนที่ฉันจะเดินทางไปพบพวกเขาที่นิวซีแลนด์

กล่องเก่าๆ ที่มีเอกสารที่เริ่มซีดจางซึ่งฉันได้เจอมันครั้งสุดท้ายเมื่อ 25 ปีที่แล้ว สงสัยว่าเป็นช่วงที่ฉันกำจะออกมาจากนิวซีแลนด์เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศไทย

ฉันใส่เอกสารจำนวนหนึ่งในกล่องสีขาวและลืมทิ้งมันไว้

เมื่อฉันอยู่ที่แจ็คพอยต์ ฉันได้ไปเปิดกล่องนั้นจะดูซิว่า เราเก็บอะไรไว้บ้าง

ภายในก็ได้เจอแผ่นกระดาษข่าวที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ เหลืออยู่จากช่วงเวลาที่ฉันเป็นนักข่าวในเมืองไครสต์เชิร์ช บางส่วนฉันลืมไปแล้วว่าตนเองเคยเขียนไว้

นอกนั้นฉันยังพบเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแยกทางกับอดีตคู่ของฉัน ทั้งกับเอกสารที่เกี่ยวกับการขายบ้านของเราก่อนที่ฉันจะออกมาจากนิวซีแลนด์

Love letters from my ex-partner and her new man, above and left 


ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น ฉันได้ขุดพบอีเมลเก่าๆ ระหว่างแฟนเก่า กับเพื่อนในแชทที่พูดถึงความสั
มพันธ์ของเธอกับชายคนหนึ่งที่

เป็นชู้และภายหลังเค้าก็ได้แต่
งงานกับเธอ (ผมแอบไปเปิดดูอีเมลเค้าตอนนั้น เพราะรู้รหัสผ่าน)

ฉันได้ถ่ายภาพบางส่วนเอาไว้เพื่อประกอบโพสต์นี้ - ไม่ใช่ประชดหรอกแต่เพื่อระลึกถึงวันเก่าๆ!

ยิ่งกว่านั้นฉันยังพบการ์ตูนเก่าๆ ของตัวเองที่นักการ์ตูนประจำหนังสือพิมพ์ที่ฉันเคยทำงานด้วย เค้าวาดงานนี้ขึ้นเพื่อประกอบเรื่องๆหนึ่งที่น่าสนุกที่ฉันเขียนในหนังสือพิมพ์สมัยนั้น หลังจากใช้เวลาสุดสัปดาห์กับกลุ่ม men's support group ที่อยู่ชานเมืองไครสต์เชิร์ช
Cartoon of me
ฉันนำเรื่องนี้มาโพสต์ที่นี่อีกครั้ง

ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นหนึ่งในไม่กี่ชิ้นงานที่ฉันเขียนซึ่งยังมีเวอซั่นออนไลน์ (ชิ้นอื่นๆ เป็นแค่การตัดข่าว) และเพราะการ์ตูนนี้มีความคล้ายคลึงกับหนุ่มที่มีขนดกและใส่แว่นที่ฉันเคยเป็นในตอนนั้น

ส่วนเอกสารอื่นๆ ที่สะกิดความทรงจำเก่าๆ ที่ไม่ค่อยดีนัก เหล่านี้ผมทิ้งเอากลับไปอยู่ในกล่องเหมือนเดิมที่เคยเก็บมันไว้เมื่อ25 ปีที่แล้ว!

Saturday, 30 September 2023

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต:โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ปี 1999

แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม

มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า

ผมชวนเค้าคุย

'ทำไมถึงต้องแจก จม นี้ด้วย' ผมถาม

'ทางแม่และน้องให้แจกทุกครั้งที่เกิดป่วย' เค้าตอบ

เราคุยกันต่อดังกล่าวนี้:

'แกมาเที่ยวเมืองไทยเหรอ'

'มาหลายอาทิตย์แล้ว แต่เกิดป่วยสองครั้งแล้ว ต้องนอนที่ รพ เหมือนพี่'

'มาไทยเพื่อจะหนีครอบครัวใช่มั้ย'

'มาเที่ยวเฉยๆ ผมรู้ว่ามีอาการป่วยบ้าง แต่ไม่ชอบคนสอดแทรกยุ่งกับชีวิต'

ร่างกายน้องสั่นระริกทั้งตัว หน้าตาขุ่นมัวเหมือนพร้อมจะร้องไห้

ผมจับมือเค้าปลอบใจน้องเบาๆ

'ไม่เป็นอะไร ผมเคยมีปัญหากับครอบครัวเหมือนกัน' ผมบอก

'ผมจะถามแกถึงจดหมายได้มั้ย' ผมถามต่อ

เค้าพยักหน้า

'ทำไมถึงยอมให้น้องชายแก เขียนในลักษณะส่วนตัวขนาดนี้'

'ตอนแรกผมรู้สึกช็อคเหมือนกัน ผมให้เค้าแก้เนื้อความให้เบาลงหน่อยแต่น้องไม่ยอม

 'เราเลยตกลงว่า ถ้าเค้าจะเขียนแบบนี้ น้องเราต้องยอมรับด้วยว่า สมัยเด็กเค้าชอบแกล้งผมหนักกว่าเด็กที่โรงเรียนซะอีก'

พูดแล้วน้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ผมบอกต่อ:

'ไม่เป็นอะไรนะ อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวแกจะรู้สึกดีขึ้น ต่อจากนี้ไม่ต้องแจกให้คนอื่นอ่านก็ได้'

น้องบอกว่า
กทม ปี 1997
'วันก่อนผมนั่งรถเมล์ เริ่มรู้สึกไม่ไหวเพราะคนแน่น มือเราหงิกแล้วสั่น พอผมขอให้ ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ยืนไปกดกริ่งให้ เค้ามองค้อนขวับใส่ผม ด้วยสายตาที่บอกว่า ขาเป็นง้อยเหรอ ทำไมไม่ลุกขึ้นทำเอง

'บางที่ผมอยากติดป้ายที่หน้าผากที่บอกทุกคนไว้ว่าผมเป็นคนเปราะบาง อาจจะควบคุมอาการไม่อยู่นิดหน่อยหรือทำอะไรไม่รู้ตัวบ้าง ขอให้ช่วยหน่อย'

ผมหัวเราะ ชอบข้อคิดนี้

'ถ้าจะเขียนจริงจะบอกอะไร' ผมถาม

'ผมเป็นออทิสติก ชอบคุย แต่กลัวงู' น้องตอบตลกแล้วก็ยิ้มจางๆ

จ่ายบิลเสร็จแล้ว เราแยกทางกันไป

เราไม่ได้เจอกันอีกเลยแต่ผมก็ยังนึกถึงน้องคนนี้อยู่บ้าง

จดหมายเค้าพาผมไปนึกถึงจดหมายที่พ่อส่งไปหา สมัยนั้นที่ผมยังคบกับแฟนเก่า และพ่อแม่ตั้งหน้าว่าจะไม่ชอบใจ

ครอบครัวเราอาจจะมีประสงค์ที่ดีจริงๆก็ได้

แต่บางครั้งการกระทำของเค้าอาจจะฝังลึกให้เจ็บถึงในหัวใจด้วย

ถ้าเป็นไปได้ เราต้องกำหนดจิต เพื่อความสบายใจของตัวเอง

จากเน็ตคำว่า กำหนดจิต คือ

การกำหนดจิตนี้หมายความว่า ให้ตั้งสติ เป็นวิธีปฏิบัติ สัมปชัญญะมีความรู้ตัวอยู่ตลอดปัจจุบัน อย่างนี้เป็นต้น อดีตไม่เอา อนาคตไม่เอา ให้เอาปัจจุบันที่มันเกิดขึ้น ให้ปฏิบัติอย่างนี้ โดยข้อปฏิบัติง่ายๆ ถ้าเสียใจ มีความทุกข์ใจมันอยู่ในข้อนี้ จึงต้องกำหนดที่ลิ้นปี่ เสียใจหนอๆ หายใจลึกๆ ยาวๆ เสียใจเรื่องอะไร เป็นการป้อนข้อมูล

จะเวิร์คไหม เราต้องลองดู

ภาพ กทม ขอขอบคุณ Explore World; realmetrosiam 

20plus club (Postscript 2)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: บริเวณถนนรัชดาภิเษก ปี 1999
ถ่ายจากฟอร์จูน ทาวน์ สมัยยังมีห้างเยาฮันจากญี่ปุ่น
ก่อนจะเป็นโลตัสในปัจจุบัน ส่วนด้านขวาปัจจุบันเป็นเซ็นทรัลพระราม 9
ตึกอาร์เอสเห็นเด่นตั้งแต่ไกล
(แปลจาก จม มกราคม 2546)

เรียนผู้เกี่ยวข้อง

ขอแจ้งไว้ในฐานะผมเป็นหมอ และเป็นน้องชายของ คุณจอร์จ

ว่าพี่ผมได้รับการวินิจฉัยจากหมอเฉพาะทางว่าเป็น ออทิสติก ตั้งแต่เด็กนะครับ

และอาการที่เค้าแสดงออกตอนนั้น บางครั้งอาจจะยังแสดงออกตอนนี้ด้วย

เราหวังว่า จดหมายที่เราเขียนไว้นี้ จะช่วยพี่จอร์จให้ได้ใช้ชีวิตที่เมืองไทยได้สบายๆ นะครับ

คุณแม่และตัวผมช่วยกันเขียนใจความนี้ขึ้นมา

เราช่วยกันออกความเห็นว่าอาการของเค้าเป็นยังไง

คนจะได้เข้าใจเค้าให้มากขึ้น และไม่ต้องตกใจถ้าอาการของพี่ยังแสดงออกให้เห็นบ้าง

บางทีอาการพี่อาจจะดูแปลกๆ เหมือนคนที่โตมาแล้ว แต่ลืมตัวเอง ดันไปทำตัวเหมือนเด็ก

ไม่ต้องกังวลอะไรเลยนะคับ แค่เตือนใจพี่ไว้ และพี่จะปรับตัวได้เอง

กทม ปี 1997
ลักษณะพฤติกรรมที่พี่ผมแสดงออก ก็ธรรมดาสำหรับกลุ่มคนที่จัดอยู่ในกลุ่มออทิสติกสเปกตรัมหรือไม่ก็เป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ (ซึ่งอาการคล้ายๆกัน)

ผมรับรองว่าจะไม่เจออะไรที่น่ากลัวเลยนะ

เพียงแต่ว่า บางคนที่ไม่รู้จักอาการอาจจะงงๆ

เมื่อพี่ได้เจอเสียงดังหรือพบคนที่ยัดเยียดหนาแน่นเข้า  พี่จะรู้สึกกลัว

เวลาเจอคนแปลกหน้า พี่จะแสดงตัวอึดอัดใจ ถอนตัวไม่ยอมพูดมาก

สมัยตอนเด็กพี่โดนพวกเด็กแกล้งเค้าเล่นๆ เพราะเค้าดูไม่ทันคน

แม่บอกว่าในเรื่องของทักษะการเคลื่อนไหวและควบคุมตัวเอง สมัยเด็ก พี่แทบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย

เช่นเมื่อจะแต่งกายหรือทำอะไรที่ต้องใช้มือเยอะ เช่น กลัดและปลดกระดุม ใส่เข็มขัด และผูกเชือกรองเท้า แม่ต้องค่อยทำให้

พูดอย่างนี้เราไม่ได้ดูถูกพี่นะ แค่บอกให้ทราบเฉยๆ

นอกจากข้อบกพร่องในทักษะทางสังคม

พี่ยังชอบแสดงพฤติกรรมหมกหมุ่น

พี่ชอบใช้เวลาอยู่คนเดียว และเมื่อเจออะไรที่ชอบใจ ก็จะทำอย่างจดจ้อไม่สนใจเรื่องอื่น

เช่นเคยเล่นกีตาร์หนักแทบไม่ยอมปล่อยจากมือ ไปที่ไหนก็ต้องเล่นเหมือน Eric Clapton

คนที่แวะมาหาแม่ที่บ้าน และเจอพี่เข้า มักจะถามแม่ว่า ลูกเป็นอะไร

แม่เคยพาพี่ไปหาหมอที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเด็ก

หมอวินิจฉัยว่า พี่น่าจะเป็นเด็ก autistic นั้นเอง และแนะนำให้แม่ค่อยดูอาการต่อเนื่อง

พอโตมาเป็นวัยรุ่น พี่เกิดเป็นโรคซึมเศร้า เป็นอาการเกี่ยวโยงกับ autism ด้วย

มาถึงวัยยี่สิบกว่าปี พี่ก็เข้าออกโรงพยาบาลจิตเวช และบ้านพักคนชราใกล้บ้านเรา ไปพักสมองเป็นว่าเล่น

พี่มีปัญหาทางกายอีก คือกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ด้วย

พี่ต้องใส่แพมเพิร์สตลอดชีวิต

ผมชอบแกล้งพี่เรื่องนี้ ด้วยความสงสัยว่า พี่อาจจะควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้บ้าง แต่กลับชอบให้คนอื่นช่วย
 และเป็นจุดน่าสงสารในครอบครัว
กทม 1997


พี่ชอบอ้างว่า เค้ากลัวงูจะขึ้นมาทางท่อน้ำ เลยไม่ชอบนั่งส้วม

และพี่มีช่วงเวลาหลายปี ที่แทบจะไม่เข้าห้องน้ำเลย ชอบพึ่งใช้แพมเพิร์สอย่างเดียวเหมือนเด็กเล็ก

แต่แม่ห้ามเราพูดอะไรมาก กลัวว่าลูกจะโตมามีปมด้อย

แม่รู้สึกผิดที่พี่เกิดมาเป็นแบบนี้

หมอคนแรกที่แม่พาไปหา ให้แม่ถามตัวพี่ ก่อนเข้าวัยเรียน ว่าอยากใส่ต่อมั้ย  พี่เลือกใส่ต่ออย่างนั้น

พี่โชคดีหน่อยที่ รร เค้ามี่เพื่อนพิการอีกสองคนที่มีพยาบาล รร ค่อยดูแลร่วมกันเป็นแพ็ค ไม่อย่างนั้นคงโดนเด็กบูลลี่เยอะ

ผมหวังว่าปัญหานี้จะไม่เป็นอุปสรรคต่อชีวิตประจำของพี่ต่อไปนะ และพี่จะได้เจอแฟนที่เห็นใจเค้าด้วย

ปล มีบางครั้ง ถ้าอาการที่พี่แสดงหนักเข้า เค้าจะเกิดอาการหายใจเร็ว มือสั่น สำลักน้ำลาย ๆลๆ ที่คนสมัยนี้เรียกว่า โรคแพนิคหรือโรคตื่นตระหนก

จะมาแวบๆ แล้วก็ผ่านไปเร็ว

โชคดี

(ชื่อ)

มกราคม 2546

now, see here

Friday, 29 September 2023

20plus club (Postscript 1)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต:มาบุญครองในช่วงแรก ก่อนจะปรับปรุงเป็น MBK
Center ในปี 2000
สมัยตอนที่พึ่งมาเมืองไทยแรกและยังไม่ได้เจอกับแฟน  จิตใจผมยังกระวนกระวาย น่าจะเป็นอาการที่เอามาจากชีวิตเก่าที่ต่างประเทศ

ผมไปหาหมอที่ กทม

เค้าให้ผมไปนอนพักที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในหอผู้ป่วยจิตเวช

ผมก็พักแค่คืนเดี่ยว  จำชื่อ รพ ไม่ได้แล้ว

แต่จำได้ว่าทาง รพ จัดให้พยาบาลเฝ้าคนไข้ ห้องละ 3-4 คน

ค่อยนั่งเป็นเพื่อน

หลังเราตื่นนอนตอนเช้า หมอจะแวะมาคุยและให้ยาคุมอาการ

เสร็จแล้วนางสาวพยาบาลพาผมไปเช็คเอาท์เหมือนเราไปนอนพักโรงแรมเลย

ตอนที่รอจ่ายบิล ผมได้เห็นหนุ่มฝรั่ง เป็นผู้ป่วยเหมือนกัน แจกจดหมายอยู่

พอมาถึงตัวเราผมก็ถามเค้าว่า นี่คืออะไร

ฝรั่งคนนี้ชื่อ จอร์จ บอกว่าเป็นจดหมายจากครอบครัวเค้า ที่เราก็อปไว้เป็นหลายแผนกระดาษ

ทางครอบครัวฝาก จม ฉบับนี้ให้เค้า เอาไว้ควักออกมาโชว์พวกหมอหรือน้องพยาบาลเมื่อใดที่อาการป่วยทางจิตเค้ากำเริบขึ้น

จดหมายแจกนั้นแจ้งว่าอาการเค้าว่าเป็นยังไง

ทางครอบครัวเค้าเป็นห่วงว่า เมื่อเค้าป่วยขึ้น เค้าอาจจะสื่อสารกับคนอื่นไม่ชัด เค้าถึงเขียนจดหมายนี้เป็นเครื่องช่วยให้สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ

ผมเข้าใจดี แต่หลังอ่านใจความ อดคิดไม่ได้ว่า จ.ม นี้นั้นชั่งก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของน้อง

น้องแจกจดหมายนี้ไปทั่ว ร่วมถึงมือคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

เหมือนเค้าประชดและลงโทษตัวเองที่ต้องรับมือกับครอบครัวจุ้นจ้านแบบนี้

เพราะจริงๆแล้วไม่ต้องแจกให้ใครรับรู้ทั้งสิ้น

ครอบครัวเค้ายังอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด เค้าจะมารับรู้เรื่องไหมว่าลูกจะแจกหรือไม่แจก

น้องเอาก๊อป จ.ม ไปแจกให้ทุกคนรับทราบ

เป็นวิธีการแสดงว่าตัวเองไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องทนรับอย่างเดียว

เรายังเก็บจดหมายนี้อยู่

เวอร์ชั่นเดิมเขียนเป็นอังกฤษแต่ผมขอเอามาแปลเป็นไทย

เค้าเขียนแบบนี้:

now, see here

20plus club (11)

YWCA, Sathon
หลังจากแยกทางกันเรียบร้อยแล้ว ผมรู้ข่าวทีหลังว่า เชอวอนได้ทำนัดไว้เพื่อบินไปแต่งงานกับ Hank ที่ america ต่อมาทั้งคู่บินกลับมาซื้อบ้านและทำมาหากินที่ New Zealand

อดีตแฟนกลับไปทำงานเป็นผู้ช่วยคลินิกหมอ จนกระทั่งออกเกษียณอายุในวัย 71ปี เมื่อสองปีที่แล้ว

ส่วน Hank จากเมื่อก่อนเป็นครูสอนพลศึกษาที่โรงเรียน ในรัฐจอร์เจียของสหรัฐอเมริกา (ถ้าผมจำไม่ผิด)

พอมาถึง Wellington ก็ปรับโฉมรับงานเป็นพนักงานที่ big box store

เมื่อหลายปีต่อมา เค้าก็เลิกทำงานนี้เพราะเป็นโรคซึมเศร้า (เชอวอนบอกผมในอีเมล)

และทำงานที่บ้านโดยผันตัวเองอีกทีมาเป็นนักเขียนลักษณะตีพิมพ์ผลงานตัวเอง

ซึ่งผลงานแรกก็เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ เล่าเรื่องราวชีวิตแนวตลกในการปรับตัวเข้ากับชีวิตชาวกีวีที่ New Zealand

ต่อมาก็ผันตัวเองอีกทีมาเขียนในแนว sci fi

ผมพึ่งนึกถึงว่าตัว  Hank เป็นสมาชิกสโมสร 20-plus ที่ผมพูดถึงในหัวเรื่องนี้ได้เหมือนกัน

น่าจะถือโอกาสฉลองบ้าง

ไม่ใช่ฉลองในโอกาสได้เอาตัวรอดที่เมืองไทยอย่างผม

แต่ฉลองความจริงที่เขาสามารถอยู่รอดมาได้ 25 ปีในความสัมพันธ์กับอดีตคู่ของฉันที่มีเล่ห์เหลี่ยมเหลือเกิน

-
เปลี่ยนฉากกลับไปที่ กทม

ก่อนที่ผมจะมาถึง

ทางบริษัทที่จ้างผมเป็นนักข่าว

จองห้องพักไว้ให้ผมที่ YWCA แถวสาธร

ต่อมาเราต้องไปหาห้องเช้าของตัวเอง

ภายในสองอาทิตย์แรกผมได้เจอคนไทยเยอะมาก

เค้าดีใจที่จะได้รับรองฝรั่งอย่างผมที่เมืองไทย เหมือนเค้าไม่เคยเจอฝรั่งมาก่อน

ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอัดเข้าไปในเวลาอันสั้นๆ นั้น เต็มไปด้วยการเรียนรู้บนพื้นฐานความสุข

คนที่เราได้เจอกันในช่วงแรกนั้นมีดังนี้

เจ้าพระยา ปี 1997
1. ชาตรี หนุ่มพนักงานตอนรับที่ YWCA

เค้าพาผมไปกินข้าวมื้อกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน นอกนั้นก็พาไปหาครอบครัวเค้าที่ ตจว และตอนกลางคืน ก็แอบดอดมาเล่นกีตาร์ในห้องผมจนถึงรุ่งเช้าเลย

2. เอก หนุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ที่จอดประจำอยู่หน้า YWCA เป็นผู้ชายแท้แต่ชอบพาผมไปดูกะเทย cabaret ชื่อ Freeman แถวสีลม

3. เจย์ เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่พาผมไปกินเหล้าไทยที่บาร์แถวสุขุมวิท

4. มิสเตอร์บี หนุ่มน้อยน่ารักที่ทำงานเป็นเด็กเสริฟร้านกาแฟที่ตึก YWCA นั้น และจนกลายมาเป็นแฟนสุดที่รักของผมในที่สุด

ถ้าเชอวอนขโมยช่วงเวลาวัยรุ่นของผมไปอย่างที่พ่อแม่ว่า ภายในไม่กี่อาทิตย์แรกที่เราได้เข้ามาสู่อ้อมกอดของเมืองไทย

เรารื้อฟื้น lost youth นั้นให้กลับคืนมาได้เลย

-
ทางออฟฟิศผม เสนอตัวจัดการเรื่อง visa และ work permit ให้

เค้าทำแบบนี้ให้กับฝรั่งที่เค้าจ้างเป็นพนักงานทุกคน

เรื่องของมิสเตอร์บีนั้น

ผมเห็นร้านนี้มิสเตอร์บีทำงานอยู่เป็นหลายวัน แต่ไม่กล้าเข้าไปนั่ง เพราะดูจากบรรยากาศว่าน่าจะแพง

แต่วันหนึ่ง ผมเผลอตัวเดินเข้าไปนั่งเลย คงหิวมากมั้ง

ที่นี้ผมได้เจอกับเจ้าของร้าน

เป็นหนุ่มไทยตัวสูงๆ ที่มีรูปร่างสมชื่อ มีชื่อเล่นว่า 'ไจแอน' ที่พ่อแม่ตั้งให้

กทม ปี 1997
ไจแอนพูดภาษาอังกฤษเป็นและจูงมือผมให้ไปได้รู้จักกับพนักงานของเค้า

ร่วมถึงนายบีตัวยิ้มสวยดูร่าเริงนิสัยดี

พอดีมิสเตอร์บีพึ่งมาอยู่ กทม เหมือนกันหลังเดินทางจากบ้านเกิดที่ จว ชลบุรี

ไจแอนบอก:

'ตอนนี้มิสเตอร์บีนอนพักที่บ้านผม  อยากให้เค้าย้ายเข้าไปห้องไมเคิลเป็นเพื่อนกันไหม เค้าจะได้สั่งข้าวอร่อยๆ ให้กิน และช่วยแก้เหงาในชีวิตประจำวันด้วย'

ผมตกลงไว้เพราะอยากมีเพื่อน

ต่อมามิสเตอร์บีย้ายเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมห้องเรา

และเมื่อได้รู้จักกันและสนิทใจกันมากขึ้น เราตัดสินว่าจะออกไปหาห้องเช่าที่อื่นกัน

เป็นคนเดียวที่เรายังรักและเป็นคู่ใจจนถึงทุกวันนี้

ตอนนั้นแฟนใหม่เรา (มิสเตอร์บี) อายุแค่ 20 ต้นๆ และไม่เคยมาเที่ยว กทม มาก่อน

เราเลยได้เรียนรู้ กทม พร้อมไปด้วยกัน

เช่นในวันหยุด แฟนเรามิสเตอร์บีจะพาเราไปเที่ยวห้างเดินเล่น หรือนั่งเรือข้ามฝากดูวิวสวยๆ

และบางครั้งก็ซื้อตั๋วรถบัสนั่งกลับไปหาพวกญาติเค้าที่ชลบุรีด้วย

เรื่องของทรัพย์สินส่วนตัว ช่วงแรกคบกับเราไม่ค่อยมีอะไร แฟนทำงานที่ร้านกาแฟของพี่ไจแอน

ผมมีงานที่ นสพ นั้นแต่เงินเดือนรวมแล้วยังน้อยอยู่

วันนั้นที่บินมาถึงเมืองไทย ผมมีติดตัวมาแค่กระเป๋าเดินทางกับกีตาร์ตัวหนึ่ง แค่นั้น

มีเงินเก็บแต่ไม่เยอะ

สรุปแล้วเราต้องเริ่มสร้างชีวิตคู่จากรากฐานเปล่าๆแบบนี้จริงๆ

แฟนจัดหาห้องเช่าให้เราได้ที่ฝั่งธน ในตลาดเก่าๆ ชื่อ ตลาดพลู

และใช้ชีวิตร่วมกันของเรา ไทยผสมฝรั่งเริ่มต้นที่นั้นจริงๆ (อ่านได้ต่อที่นี้ เป็นภาษาอังกฤษ)

now, see here

Wednesday, 27 September 2023

20plus club (10)

Christchurch Cathedral ก่อนแผ่นดินไหว 2554 ทำให้เสียหาย

จะว่าไปแล้ว ปกติเฌอวอนมักจะปฏิเสธเสมอถ้าผมจะขอเลิกคบกับเค้า

เค้ากลัวว่าถ้าโดนทิ้งไปจะไม่มีเงิน และไม่มีใครดูแล เพราะเค้าเริ่มจะแก่ตัวแล้ว

แต่หลังจากที่เฌอวอนแอบไปมีกิ๊ก เค้าก็เปลี่ยนใจทันที ยินดีที่ได้แยกทางกันด้วย

เค้ายังปิดบังความจริงที่ได้ไปพบเจอกับคนใหม่

และพยายามไถเงินจากผมไป เป็นค่าขอเลิกคบ

เท่ากับว่าถ้าผมถ้าอยากได้เสรีภาพจริง ผมต้องจ่ายค่าชดเชยเค้า

แฟนใหม่ของเธอ แฮงค์ แน่นอนว่ามีเงินซุกซ่อนอยู่บ้าง

แต่เฌอวอนหวังว่า จะโน้มน้าวใจให้ผมออกเงินให้เค้าด้วย ในฐานะที่ผมเป็นฝ่ายขอเลิกเค้าก่อน

เค้ารู้ว่า ผมยังเป็นห่วงเค้า และรู้สึกผิดที่ขอเลิกลากัน

ผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่เค้าแอบไปมีกิ๊กอยู่แล้วไว้ก่อนหน้านี้ (และต้องรออีกหลายอาทิตย์กว่าเค้ายอมเปิดเผยความจริงเอง)

ก่อนที่เราแยกทางกันนั้น เค้าเลยเล่นบทบาททำตัวน่าสงสาร ว่าผมกำลังจะทิ้งเค้าอย่างโหดร้ายโดยไม่สนใจใยดีเพื่อจะเรียกร้องความเห็นใจให้กับตัวเธอ เพื่อที่จะให้ได้เงินนั้นเอง

ผมไม่รู้ว่าแฮงค์มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนนี้หรือไม่

แต่มันเริ่มจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเฌอวอนขอให้ผมจ้างทนายความเพื่อจะร่างข้อตกลงแบ่งทรัพสินส่วนร่วมที่มีมาด้วยกัน

เค้าต้องการให้ทนายความคุมครองและกำหนดจัดการแบ่งทรัพย์สินในบ้าน รถยนต์ และรายได้จากการขายบ้านของเราด้วย

เฌอวอนเรียกร้องส่วนแบ่งที่ใหญ่มาก เท่ากับ 70% ของทรัพย์สินทั้งหมด

แม้ว่าผมเป็นเสาหลักจากการหาเงินนี้

ผมทำงาน full-time ตั้งแต่จบการศึกษาและเข้าวงการงานสื่อสาร

แต่เฌอวอนเลือกว่าจะทำงานช่วยผมแค่นิดเดียวเองเป็นหลายปี
 
เค้าคงวางแผนใช้อุบายสกปรกแบบนี้และ  โดยอ้างอิงจากความรู้สึกผิดของผมที่เป็นฝ่ายขอเลิกลากัน

แต่หนักกว่านั้น  เฌอวอนยังข่มขู่ผมอีกด้วยว่า ถ้าผมไม่ยอมจ่ายตามที่เรียกร้อง เค้าจะขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องที่น่าอับอายในอดีตผมและเปิดเผยให้ทุกคนรู้
การข้อตกลงระวางเรา

--
ผมยอมจจ้างทนายความเพื่อความสบายใจของแฟน

เราจ้างทนายจากบริษัทกฎหมายดังๆ ที่ตีราคาแพงที่สุดในเมือง สองบริษัท (เวลาปรึกษาทนาย ผู้เป็นคู่ที่กำลังเลิกลากันต้องจ้างทนายความคนละบริษัทกัน)

เวลาเรานัดคุยกับทนายกัน เฌอวอนชอบอ้างว่า หลังแยกทางกันเสร็จ เค้าจะไม่มีใครดูแล ผมต้องเห็นใจเค้าบ้าง และโอนทรัพย์สินไปให้เค้า

แต่ทนายผมบอกชัดเจนว่า ถึงจะตกลงแบ่งทรัพย์สินกันและลงลายเซ็นชื่อกันตามที่เฌอวอนต้องการ

กฎหมายจะไม่มีบังคับใช้อยู่ดี เพราะเราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆให้ถูกต้องตามกฎหมาย

เอาเข้าจริงๆเราไม่จำเป็นที่จะต้องให้อะไรกับฝ่ายเค้าสักนิดก็ได้ เลิกก็เลิกกันไปเลย เพราะกฎหมายยังไม่มีรองรับในกรณีแบบนี้

(ในปี 2002 รัฐสภา New Zealand ให้ความเห็นชอบกฎหมายที่จัดให้ de facto couples หรือคู่รักโดยพฤตินัย ได้รับสิทธิแบ่งทรัพย์สินที่เท่าเทียมกันถ้าเลิกกัน ดังคู่แต่งงานกันจริง
แต่ผมเลิกคบกับเฌอวอนก่อนหน้านั้นแล้ว)

ถ้าเราแต่งงานกันจริง เราจะต้องแบ่งทรัพย์สิน 50/50 แต่สำหรับเราตอนนั้นไม่ใช่ เราแค่เป็นคู่รักแบบ de facto couple

แต่ถึงจะเป็นคู่รัก de facto แค่เท่านั้น แต่เฌอวอนดันจะเอาไปตั้ง 70%เลย

ทนายผมเตือนอีกว่า แม้ว่าข้อตกลงอาจไม่มีบังคับใช้ มันก็ยังผูกพันการกระทำของเราไว้ เมื่อทนายตามหน้าที่เค้า เริ่มติดต่อกับฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรา เช่น ธนาคารของผม บริษัทที่ถูกฝากขายบ้านของเรา

ข้อเรียกร้องของเฌอวอน ในช่วงแรกพูดคุยกันได้ไม่ยุติธรรมเลย

เค้าอยากให้ผมยกทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดเช่น พวกเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งรถยนต์ เศษส่วนครึ่งหนึ่งของเงินบำนาญของผม แม้กระทั่งรายได้ทั้งหมดจากการขายบ้าน

โดยในการแลกสิทธิ์ความเป็นอิสระของซึ่งกันและกัน และผมจะได้เดินจากไปแบบโดยไม่ต้องจ่ายค่าจำนองต่อ (ตอนนั้นบ้านยังไม่ได้ขาย)

เฌอวอนบอกว่าจะรับผิดชอบเองถ้าเราตกลงกันได้

ทนายผมถึงแนะนำไม่ให้ลงนามเซ็นชื่อ

'ถึงจะบังคับใช้ไม่ได้ ยังไงๆ ร่างนี้ก็ไม่แฟร์ เค้าเรียก 70% ได้ยังไง ฉันแนะไมเคิลไม่จ่ายเงินหรือยกอะไรให้ฝ่ายเค้าที่เกินกว่าครึ่งหนึ่ง' ทนายผมว่ายังนี้

หลังจากเราแยกทางกันเสร็จและผมกำลังเตรียมตัวบินไปต่างประเทศ ทนายความผมแนะนำให้เราติตต่อกับทนายความอีกฝ่าย และแก้ไขข้อตกลงอีกรอบหนึ่ง เพื่อให้มีความสมดุล

เป็นจุดพลิกผันโดยสินเชิง
ทนายความของผมดูพอใจมากขึ้นแบบเงียบ ๆ

โดยเฌอวอนยอมถอย และตกลงว่า เค้าต้องจ่ายค่าส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของค่าทรัพย์สินในบ้าน บวกกับค่ารถ ค่าจำนองและค่าบำรุงรักษาบ้านให้ผมด้วย

เป็นส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งเช่นกัน ยอดรวมที่ต้องชำระคือ $3,500 โดยเงินจำนวนดังกล่าวถูกหักออกจากส่วนแบ่งของรายได้สุทธิของเค้า

หลังจากเราส่งร่างข้อตกลงกัน ผ่านมือทนายความทั้งสองฝ่ายเป็นหลายรอบ

เราได้ลงนามลายเซ็นเรียบร้อย โดยเฌอวอนต้องยินยอมข้อแก้ไขของทนายความของเรา

ในเดือนกรกฎาคม 2000 พอดีบ้านเราถูกขายไปเรียบร้อยแล้วด้วย

อาทิตย์ก่อนที่ผมจะบินออกไป ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2000 ทนายความของผม จากดันแคน คอตเทอริลล์ ได้เขียนสรุปความก้าวหน้าในการเจรจากับทนายความของเฌอวอน (ดูจากรูป)

ผมรู้สึกถึงโทนเสียงของความพอใจอย่างเงียบ ๆ ในการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงที่นักเจรจาผู้มีฝีมือเหล่านี้สามารถดึงออกมาจากอีกฝ่าย ซึ่งในสภาพที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของผมที่ยังค้างอยู่  ผมคงไม่สามารถทำได้เอง

กลยุทธ์ของเฌอวอนในการจ้างทนายความแพงๆ ไม่ประสบความสำเร็จ

มันย้อนกลับไปทำร้ายกับตัวเค้าเอง

now, see here

Tuesday, 26 September 2023

20plus club (9)

Hawkes Bay
ที่จริงแล้วเชอวอนได้เจอคู่ครองใหม่ไปแล้ว แต่ไม่ยอมบอกผม

เค้ามีกิ๊กเป็นชาวอเมริกา ชื่อ Hank

เค้าเจอกันทางออนไลน์

ทั้งคู่นัดคุยกันเป็นประจำตอนเช้ามืด โดยใช้คอมที่บ้านผม ตอนที่ผมยังนอนหลับอยู่

ตอนแรกผมไม่รู้เรื่อง

แต่พอเห็นพฤติกรรมมีพิรุธของแฟน ก็ไปแอบเปิด email ของเชอวอนดู (ผมรู้จักรหัส)

แล้วก็ลองดูซิว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่

ถึงจับได้ว่าเค้าไปมีกิ๊กซะแล้ว

Hank นี่อายุแก่กว่าผม แต่ยังน้อยกว่าเชอวอน

ผู้ชายรุ่นเดียวกันไม่ค่อยสนใจเชอวอน เค้าเลยต้องข้ามรุ่นไปกินเด็กแทน

เมื่อแอบดูอีเมลที่เค้าส่งหากัน

ผมได้รู้ว่า เชอวอนและ Hank ได้เจอกันในชีวิตจริงแล้วด้วย

เค้าแอบนัดกันไปมีอะไรกันที่บ้านเพื่อนของเค้า

คือ Hank บินมาจาก America เพื่อจะได้มาเจอเชอวอนตัวจริง

เค้าใช้เวลาได้รู้จักกันเชิงลึกไม่กี่วันเอง ก่อน Hank
ต้องบินกลับไปประเทศบ้านเกิดคนเดียว

แต่เค้าได้ติดใจแฟนเราไปซะแล้ว

ผมยังจำทริปนั้นของแฟนได้ดี

หลังงจากเราตกลงไว้ว่าจะเลิกกัน เค้าอ้างว่าอยากพักสมองไปเที่ยวบ้าง

เลยบินไปหาเพื่อนเก่าในอำเภอ Hawkes Bay ที่ภาคเหนือของ New Zealand

เพื่อนคนนี้เป็นนักธุรกิจรวยๆ ชื่อ Craig

เค้าเคยชวนเราไปนอนพักที่บ้านเค้าสมัยที่เรายังอยู่ที่  Wellington

ตอนนั้นผมยังเป็นหนุ่มหล่อๆอยู่ด้วย

อีCraigนี้ เป็นพวกอีแอบ เคยแต่งงานและมีลูกสองคนเรียบร้อยแล้ว
แต่แยกทางกับเมียทีหลัง

มีข่าวลือแพร่มาถึงพวกเราที่ Christchurch ว่า อีCraig แอบชอบหนุ่มๆ มากกว่า

Oh, he's a shirt-lifter (เกย์) from way back," เพื่อน ผู้หญิงหนึ่งคน
ที่รู้จักเค้าจาก Hawkes Bay สมัยก่อน บอกแฟนผม

ผมจำได้ว่า คืนแรกที่เราไปนอนพักที่บ้านมัน

อาการอีแอบของอีเครกแสดงออกชัดเชน

พอดึกเข้า เครกเร่งให้เชอวอนรีบเข้านอนเลย โดยไม่ต้องรอผม

'The men want to talk.' เครกอ้างอย่างนี้ หมายถึงว่าเค้าอยากนั่งคนเดียวกับผม

หลังจากเชอวอนยอมใจไปนอนก่อน เครกหายตัวจากห้องแป๊บหนึ่ง

ก่อนประกฏตัวกลับมาโดยสลัดเสื้อผ้าเกือบหมดเหลือแค่ชุดคลุมอาบน้ำ

เตรียมตัวไปทำอะไรกับผม พอจะนึกออกได้

พร้อมด้วยการแข็งตัวส่วนลับของผู้ชายที่ห้อยโตงเตงใต้ผ้าชุดคลุมอาบน้ำ

ผมตกใจ ไม่กล้ามองดู และแน่นอนไม่ได้จับ

'Don't tell her.'

เค้ากำชับหลายครั้ง

แน่นอนมันกลัวว่าแฟนผมจะจับได้ว่ามันชอบผมในตอนนั้น

ผมคิดแต่ว่า จะให้เราทำอะไรนะจ๊ะ  แฟนเราพึ่งไปนอนที่ห้องใกล้ๆ

เอาให้ผมบริการคุณเหมือนเด็กอ๊อฟเลยเหรอ

ผมรีบขอตัวไปนอน และโชคดีอีเครกไม่ได้ว่าอะไรหรือทำอะไรบ้าๆอีก

แต่พอเรานึกถึงบทบาทกวนๆที่เค้าจะเล่นในช่วงต่อมา

หลังจากผมละแฟนตกลงเลิกกัน และอีเครกเปิดบ้านเป็นเจ้าภาพรับคู่รักป้ายแดง
เชอวอนและ Hank นั้น ไปเสพสุขกันแบบ dirty weekend
โดยเก็บเรื่องทั้งหมดให้เป็นความลับไม่พูดอะไรกับผม

ผมต้องถามในใจว่า นี่มืงแค้นใจรึเปล่าที่ผมไม่ยอมช่วยมึงปลดความใคร่ในคืนนั้น

now, see here

20plus club (8)

Back to Christchurch
ผมไม่มีทางเลือก ต้องขายบ้านสุดที่รักและกลั
บไปที่ Christchurch ตามที่

บก Tim เรียกในปี 1998

โรคซึมเศร้าเริ่มจะที่กำเริบตอนนั้น

พอกลับไปที่ Christchurch รอบใหม่นี้

ความความสัมพันธ์กับพ่อแม่ค่อยยังชั่ว

เค้าชวนผมและเชอวอนไปกินข้าวกันที่บ้านเค้าเป็นประจำ

เค้าคงรู้แล้วว่า ถ้าเราจะเลิกคบกัน เราต้องเป็นฝ่ายทำเอง

เค้าจะเป็นตัวเสี้ยนหนามแหย่ให้เราเลิกกันไม่ได้

ส่วนงานที่ นสพ ของเราก็ราบรื่นดี เรากลายเป็น star reporter คนหนึ่งที่

บก มอบหมายงานใหญ่ไว้ให้เป็นประจำ

เราได้ไปซื้อบ้านใหม่ด้วยในอำเภอ Mairehau

ใกล้ใจกลางเมืองแต่ไม่มีหาดทรายไว้ไปเดินเล่นเหมือนที่ Lyall Bay

บ้านที่เราซื้อมาในอำเภอ Mairehau รูปปัจจุบัน

สรุปแล้ว เราเหลือแต่ปัญหาเดิมๆที่ไม่อยากพูดถึง

คือผมเบื่อแฟนและชีวิตคู่ แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี

พอเข้าปี 2000 ต้นๆ

เราแอบไปหาเพื่อนรุ่นพี่

แม่จู๊ดที่เคยส่งลูกชายไปเรียนที่ รร ที่พ่อเราทำงาน และเป็นเพื่อนของแฟนเรา

เรารู้จักจู๊ด และมีผัวชื่อ พีท ตั้งแต่หลายปีก่อน
ที่เค้ายังเป็นชาวนาในแถบ Canterbury ห่างจาก Christchurch สัก 2-3 ชม

พี่พับเสื่อเลิกทำนาและย้ายกลับไปที่เมือง Christchurch หลังจากเจอปัญหากับธนาคารที่ปล่อยกู้ให้เค้า

ท่ามกลางเศรษฐกิจตกต่ำทางธนาคารปรับค่าดอกเบี้ยสูงลิบ จนพี่พีทใช้หนี้ไม่ไหว และถูกธนาคารยึดที่ดินเค้าในที่สุด

สร้างความเครียดและนำไปสู้สถานการณ์ที่แม่จู๊ดและพ่อพีทแยกทางกัน และกระตุ้นทำให้แม่จู๊ดเกิดเป็นโรคซึมเศร้าด้วย

วันนั้นที่ดอดไปหาเค้าที่บ้าน ผมรู้สึกหนักใจ และอยากระบายอารมณ์

เค้าก็กำลังเลิกกับผัวอยู่ด้วย

'ผมรู้สึกอึดอัดใจและอยากเลิกกับแฟน จะทำยังไงดี' ผมบอก

แม่จู๊ดพูดโพล่งออกมาเลย:

'ยากเลิกก็เลิกซิ เดินกลับบ้านเดี๋ยวนี้แล้วบอกเค้าไป อย่าใจอ่อน'

เชอวอนและเค้าเป็นเพื่อนกันแต่แม่จู๊ดไม่แคร์

ผมเดินกลับบ้าน และทำตามที่เค้าแนะนำ

'ผมขอเลิกและเริ่มต้นใหม่ ไม่ได้เจอใครนะ แต่อยากมีฟรีดอมฟื้นกลับมา' ผมพูด

ผมไม่ได้คาดว่าแฟนจะตอบสนองดีหรือไม่ เพราะผมเคยลงดาบแบบนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว

แต่เจอแฟนปฏิเสธเลย แล้วก็โน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนใจได้เสมอ

แต่วันนี้โชคเข้าข้างตัวเรา

เค้ายอมให้เราเลิกกัน

'ฉันเห็นด้วยว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องแยกทางกัน และเริ่มมีชีวิตใหม่ทั้งคู่'

เค้าบอก 'แต่แกต้องดูแลฉันด้วยนะ'

now, see here

โพส์ตเด่น

Blast from the past (part 1)

Jack's Point golf club, with the Remarkables range "คุณเคยมาที่นี่เมื่อก่อนนี้," ผู้จัดการร้านอาหารกล่าวอย่ างเป็นนัย ร้านอาหา...

โพส์ตนิยม