Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts
Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts

Sunday, 9 June 2024

Mr Handsome returns


Mr Handsome เป็นผู้ชายไทยเกย์หนุ่มที่เคยเขียนโพสต์ให้บล็อก Bangkok of the Mind หรือ BOTM2 (เป็นรุ่นพี่ของบล็อกฉบับนี้) เป็นประจำหลายปีก่อน

เมื่อเข้าเริ่มเขียนในตอนท้ายปี 2006 เข้าได้จบการศึกษาและกําลังจะก้าวหน้าไปสู่ชีวิตการเป็นผู้ใหญ่

ฉันจําไม่ได้ว่าเราพบกันได้ยังไง (เราไม่เคยเจอกันแบบต่อหน้าต่อตานะ)
แต่เรายังคงติดต่อกันทางอีเมลเป็นประจําในช่วงที่เรายังเป็นเพื่อนออนไลน์กันอยู่ในสมัยนั้น

ในเวลานั้นฉันแปลภาษาไทยของเขาให้เป็นภาษาอังกฤษและโพสต์ทั้งสองเรี่องขึ้นที่บล็อกพร้อมกัน
อีกไม่นานเค้ากลายเป็นจุดเด่นของบล็อก เป็นผู้เขียนที่ได้รับการชมเชยนิยมชมชอบเยอะ

แม้ว่าฉันจะไม่มีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษอีกต่อไปเพราะฉันดันไปลบโพสต์อันเก่าดั้งเดิมแล้ว

แต่เมื่อได้ขุดคุยอีเมลเก่า ผมได้ไปเจอโพสต์ภาษาไทยดั้งเดิมของเค้าซะแล้ว
และอยากจะโพสต์ใหม่ที่ BOTM2 นั้น

เขาชอบเขียนในแนวถากถางและเหน็บแนมอย่างเมามันถึงพริกถึงขิงดี

เนื้อหาก็กล้าหาญ สนุกสนาน และคมคาย ไม่แพ้กันตามที่ผู้อ่านประจำจะสังเกตเห็น

เมื่อไปสวมบทผู้เขียน เขามีลีลาความสามารถตามธรรมชาติและชอบแบ่งปันเรื่องราวชีวิตให้เราเสพแบบไม่กั๊กเลย

ฉันไม่แน่ใจว่า Mr H เคยเอาผลงานเขียนไปให้เพื่อนคนไทยของเขาได้ดูบ้างหรือไม่

แต่ Mr H ไม่เคยหมดขุมทรัพย์เรื่องราวที่อยากจะเล่าให้ฟัง
และสามารถทำให้ฉันประหลาดใจด้วยหัวข้อบางอย่างที่เขาเลือกเสมอ

Mr H เขียนเรื่องราวมากกว่า 50 เรื่องระหว่างเดือนธันวาคม 2006
เริ่มต้นด้วยบทเกี่ยวกับการค้นหาแฟนของเขา จนถึงเดือนมิถุนายน 2008
เมื่อเขาปิดท้ายด้วยเรื่องเกี่ยวกับ Camfrog

โพสต์แรกของเขาอยู่ที่นี่ที่นี่ ฉันจะค่อยๆ
โพสต์เรื่องที่เหลือในช่วงสองสามเดือนต่อจากนี่ไป ภายใต้ชื่อ Mr Handsome

PS: ขอบคุณที่เว็บไซต์นี้สําหรับภาพของกรุงเทพ

Saturday, 30 September 2023

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต:โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542

แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม

มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า

ผมชวนเค้าคุย

'ทำไมถึงต้องแจก จม นี้ด้วย' ผมถาม

'ทางแม่และน้องให้แจกทุกครั้งที่เกิดป่วย' เค้าตอบ

เราคุยกันต่อดังกล่าวนี้:

'แกมาเที่ยวเมืองไทยเหรอ'

'มาหลายอาทิตย์แล้ว แต่เกิดป่วยสองครั้งแล้ว ต้องนอนที่ รพ เหมือนพี่'

'มาไทยเพื่อจะหนีครอบครัวใช่มั้ย'

'มาเที่ยวเฉยๆ ผมรู้ว่ามีอาการป่วยบ้าง แต่ไม่ชอบคนสอดแทรกยุ่งกับชีวิต'

ร่างกายน้องสั่นระริกทั้งตัว หน้าตาขุ่นมัวเหมือนพร้อมจะร้องไห้

ผมจับมือเค้าปลอบใจน้องเบาๆ

'ไม่เป็นอะไร ผมเคยมีปัญหากับครอบครัวเหมือนกัน' ผมบอก

'ผมจะถามแกถึงจดหมายได้มั้ย' ผมถามต่อ

เค้าพยักหน้า

'ทำไมถึงยอมให้น้องชายแก เขียนในลักษณะส่วนตัวขนาดนี้'

'ตอนแรกผมรู้สึกช็อคเหมือนกัน ผมให้เค้าแก้เนื้อความให้เบาลงหน่อยแต่น้องไม่ยอม

 'เราเลยตกลงว่า ถ้าเค้าจะเขียนแบบนี้ น้องเราต้องยอมรับด้วยว่า สมัยเด็กเค้าชอบแกล้งผมหนักกว่าเด็กที่โรงเรียนซะอีก'

พูดแล้วน้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ผมบอกต่อ:

'ไม่เป็นอะไรนะ อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวแกจะรู้สึกดีขึ้น ต่อจากนี้ไม่ต้องแจกให้คนอื่นอ่านก็ได้'

น้องบอกว่า

'วันก่อนผมนั่งรถเมล์ เริ่มรู้สึกไม่ไหวเพราะคนแน่น มือเราหงิกแล้วสั่น พอผมขอให้ ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ยืนไปกดกริ่งให้ เค้ามองค้อนขวับใส่ผม ด้วยสายตาที่บอกว่า ขาเป็นง้อยเหรอ ทำไมไม่ลุกขึ้นทำเอง

'บางที่ผมอยากติดป้ายที่หน้าผากที่บอกทุกคนไว้ว่าผมเป็นคนเปราะบาง อาจจะควบคุมอาการไม่อยู่นิดหน่อยหรือทำอะไรไม่รู้ตัวบ้าง ขอให้ช่วยหน่อย'

ผมหัวเราะ ชอบข้อคิดนี้

'ถ้าจะเขียนจริงจะบอกอะไร' ผมถาม

'ผมเป็นออทิสติก ชอบคุย แต่กลัวงู' น้องตอบตลกแล้วก็ยิ้มจางๆ

จ่ายบิลเสร็จแล้ว เราแยกทางกันไป

เราไม่ได้เจอกันอีกเลยแต่ผมก็ยังนึกถึงน้องคนนี้อยู่บ้าง

จดหมายเค้าพาผมไปนึกถึงจดหมายที่พ่อส่งไปหา สมัยนั้นที่ผมยังคบกับแฟนเก่า และพ่อแม่ตั้งหน้าว่าจะไม่ชอบใจ

ครอบครัวเราอาจจะมีประสงค์ที่ดีจริงๆก็ได้

แต่บางครั้งการกระทำของเค้าอาจจะฝังลึกให้เจ็บถึงในหัวใจด้วย

ถ้าเป็นไปได้ เราต้องกำหนดจิต เพื่อความสบายใจของตัวเอง

จากเน็ต คำว่า กำหนดจิต คือ

การกำหนดจิตนี้หมายความว่า ให้ตั้งสติ เป็นวิธีปฏิบัติ สัมปชัญญะมีความรู้ตัวอยู่ตลอดปัจจุบัน อย่างนี้เป็นต้น อดีตไม่เอา อนาคตไม่เอา ให้เอาปัจจุบันที่มันเกิดขึ้น ให้ปฏิบัติอย่างนี้ โดยข้อปฏิบัติง่ายๆ ถ้าเสียใจ มีความทุกข์ใจมันอยู่ในข้อนี้ จึงต้องกำหนดที่ลิ้นปี่ เสียใจหนอๆ หายใจลึกๆ ยาวๆ เสียใจเรื่องอะไร เป็นการป้อนข้อมูล

จะเวิร์คไหม เราต้องลองดู

20plus club (Postscript 2)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: บริเวณถนนรัชดาภิเษก ปี 2539
ถ่ายจากฟอร์จูน ทาวน์ สมัยยังมีห้างเยาฮันจากญี่ปุ่น
ก่อนจะเป็นโลตัสในปัจจุบัน ส่วนด้านขวาปัจจุบันเป็นเซ็นทรัลพระราม 9
ตึกอาร์เอสเห็นเด่นตั้งแต่ไกล

(แปลจาก จม มกราคม 2546)

เรียนผู้เกี่ยวข้อง

ขอแจ้งไว้ในฐานะผมเป็นหมอ และเป็นน้องชายของ คุณจอร์จ

ว่าพี่ผมได้รับการวินิจฉัยจากหมอเฉพาะทางว่าเป็น ออทิสติก ตั้งแต่เด็กนะครับ

และอาการที่เค้าแสดงออกตอนนั้น บางครั้งอาจจะยังแสดงออกตอนนี้ด้วย

เราหวังว่า จดหมายที่เราเขียนไว้นี้ จะช่วยพี่จอร์จให้ได้ใช้ชีวิตที่เมืองไทยได้สบายๆ นะครับ

คุณแม่และตัวผมช่วยกันเขียนใจความนี้ขึ้นมา

เราช่วยกันออกความเห็นว่าอาการของเค้าเป็นยังไง

คนจะได้เข้าใจเค้าให้มากขึ้น และไม่ต้องตกใจถ้าอาการของพี่ยังแสดงออกให้เห็นบ้าง

บางทีอาการพี่อาจจะดูแปลกๆ เหมือนคนที่โตมาแล้ว แต่ลืมตัวเอง ดันไปทำตัวเหมือนเด็ก

ไม่ต้องกังวลอะไรเลยนะคับ แค่เตือนใจพี่ไว้ และพี่จะปรับตัวได้เอง

ลักษณะพฤติกรรมที่พี่ผมแสดงออก ก็ธรรมดาสำหรับกลุ่มคนที่จัดอยู่ในกลุ่มออทิสติกสเปกตรัมหรือไม่ก็เป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ (ซึ่งอาการคล้ายๆกัน)

ผมรับรองว่าจะไม่เจออะไรที่น่ากลัวเลยนะ

เพียงแต่ว่า บางคนที่ไม่รู้จักอาการอาจจะงงๆ

เมื่อพี่ได้เจอเสียงดังหรือพบคนที่ยัดเยียดหนาแน่นเข้า  พี่จะรู้สึกกลัว

เวลาเจอคนแปลกหน้า พี่จะแสดงตัวอึดอัดใจ ถอนตัวไม่ยอมพูดมาก

สมัยตอนเด็กพี่โดนพวกเด็กแกล้งเค้าเล่นๆ เพราะเค้าดูไม่ทันคน

แม่บอกว่าในเรื่องของทักษะการเคลื่อนไหวและควบคุมตัวเอง สมัยเด็ก พี่แทบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย

เช่นเมื่อจะแต่งกายหรือทำอะไรที่ต้องใช้มือเยอะ เช่น กลัดและปลดกระดุม ใส่เข็มขัด และผูกเชือกรองเท้า แม่ต้องค่อยทำให้

พูดอย่างนี้เราไม่ได้ดูถูกพี่นะ แค่บอกให้ทราบเฉยๆ

นอกจากข้อบกพร่องในทักษะทางสังคม

พี่ยังชอบแสดงพฤติกรรมหมกหมุ่น

พี่ชอบใช้เวลาอยู่คนเดียว และเมื่อเจออะไรที่ชอบใจ ก็จะทำอย่างจดจ้อไม่สนใจเรื่องอื่น

เช่นเคยเล่นกีตาร์หนักแทบไม่ยอมปล่อยจากมือ ไปที่ไหนก็ต้องเล่นเหมือน Eric Clapton

คนที่แวะมาหาแม่ที่บ้าน และเจอพี่เข้า มักจะถามแม่ว่า ลูกเป็นอะไร

แม่เคยพาพี่ไปหาหมอที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเด็ก

หมอวินิจฉัยว่า พี่น่าจะเป็นเด็ก autistic นั้นเอง และแนะนำให้แม่ค่อยดูอาการต่อเนื่อง

พอโตมาเป็นวัยรุ่น พี่เกิดเป็นโรคซึมเศร้า เป็นอาการเกี่ยวโยงกับ autism ด้วย

มาถึงวัยยี่สิบกว่าปี พี่ก็เข้าออกโรงพยาบาลจิตเวช และบ้านพักคนชราใกล้บ้านเรา ไปพักสมองเป็นว่าเล่น

พี่มีปัญหาทางกายอีก คือกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ด้วย

พี่ต้องใส่แพมเพิร์สตลอดชีวิต

ผมชอบแกล้งพี่เรื่องนี้ ด้วยความสงสัยว่า พี่อาจจะควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้บ้าง แต่กลับชอบให้คนอื่นช่วย และเป็นจุดน่าสงสารในครอบครัว

พี่ชอบอ้างว่า เค้ากลัวงูจะขึ้นมาทางท่อน้ำ เลยไม่ชอบนั่งส้วม

และพี่มีช่วงเวลาหลายปี ที่แทบจะไม่เข้าห้องน้ำเลย ชอบพึ่งใช้แพมเพิร์สอย่างเดียวเหมือนเด็กเล็ก

แต่แม่ห้ามเราพูดอะไรมาก กลัวว่าลูกจะโตมามีปมด้อย

แม่รู้สึกผิดที่พี่เกิดมาเป็นแบบนี้

หมอคนแรกที่แม่พาไปหา ให้แม่ถามตัวพี่ ก่อนเข้าวัยเรียน ว่าอยากใส่ต่อมั้ย  พี่เลือกใส่ต่ออย่างนั้น

พี่โชคดีหน่อยที่ รร เค้ามี่เพื่อนพิการอีกสองคนที่มีพยาบาล รร ค่อยดูแลร่วมกันเป็นแพ็ค ไม่อย่างนั้นคงโดนเด็กบูลลี่เยอะ

ผมหวังว่าปัญหานี้จะไม่เป็นอุปสรรคต่อชีวิตประจำของพี่ต่อไปนะ และพี่จะได้เจอแฟนที่เห็นใจเค้าด้วย

ปล มีบางครั้ง ถ้าอาการที่พี่แสดงหนักเข้า เค้าจะเกิดอาการหายใจเร็ว มือสั่น สำลักน้ำลาย ๆลๆ ที่คนสมัยนี้เรียกว่า โรคแพนิคหรือโรคตื่นตระหนก

จะมาแวบๆ แล้วก็ผ่านไปเร็ว

โชคดี

(ชื่อ)

มกราคม 2546

now, see here

Friday, 29 September 2023

20plus club (Postscript 1)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต:มาบุญครองในช่วงแรก ก่อนจะปรับปรุงเป็น MBK
Center ในปี 2543
สมัยตอนที่พึ่งมาเมืองไทยแรกและยังไม่ได้เจอกับแฟน  จิตใจผมยังกระวนกระวาย น่าจะเป็นอาการที่เอามาจากชีวิตเก่าที่ต่างประเทศ

ผมไปหาหมอที่ กทม

เค้าให้ผมไปนอนพักที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในหอผู้ป่วยจิตเวช

ผมก็พักแค่คืนเดี่ยว  จำชื่อ รพ ไม่ได้แล้ว

แต่จำได้ว่าทาง รพ จัดให้พยาบาลเฝ้าคนไข้ ห้องละ 3-4 คน

ค่อยนั่งเป็นเพื่อน

หลังเราตื่นนอนตอนเช้า หมอจะแวะมาคุยและให้ยาคุมอาการ

เสร็จแล้วนางสาวพยาบาลพาผมไปเช็คเอาท์เหมือนเราไปนอนพักโรงแรมเลย

ตอนที่รอจ่ายบิล ผมได้เห็นหนุ่มฝรั่ง เป็นผู้ป่วยเหมือนกัน แจกจดหมายอยู่

พอมาถึงตัวเราผมก็ถามเค้าว่า นี่คืออะไร

ฝรั่งคนนี้ชื่อ จอร์จ บอกว่าเป็นจดหมายจากครอบครัวเค้า ที่เราก็อปไว้เป็นหลายแผนกระดาษ

ทางครอบครัวฝาก จม ฉบับนี้ให้เค้า เอาไว้ควักออกมาโชว์พวกหมอหรือน้องพยาบาลเมื่อใดที่อาการป่วยทางจิตเค้ากำเริบขึ้น

จดหมายแจกนั้นแจ้งว่าอาการเค้าว่าเป็นยังไง

ทางครอบครัวเค้าเป็นห่วงว่า เมื่อเค้าป่วยขึ้น เค้าอาจจะสื่อสารกับคนอื่นไม่ชัด เค้าถึงเขียนจดหมายนี้เป็นเครื่องช่วยให้สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ

ผมเข้าใจดี แต่หลังอ่านใจความ อดคิดไม่ได้ว่า จ.ม นี้นั้นชั่งก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของน้อง

น้องแจกจดหมายนี้ไปทั่ว ร่วมถึงมือคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

เหมือนเค้าประชดและลงโทษตัวเองที่ต้องรับมือกับครอบครัวจุ้นจ้านแบบนี้

เพราะจริงๆแล้วไม่ต้องแจกให้ใครรับรู้ทั้งสิ้น

ครอบครัวเค้ายังอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด เค้าจะมารับรู้เรื่องไหมว่าลูกจะแจกหรือไม่แจก

น้องเอาก๊อป จ.ม ไปแจกให้ทุกคนรับทราบ

เป็นวิธีการแสดงว่าตัวเองไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องทนรับอย่างเดียว

เรายังเก็บจดหมายนี้อยู่

เวอร์ชั่นเดิมเขียนเป็นอังกฤษแต่ผมขอเอามาแปลเป็นไทย

เค้าเขียนแบบนี้:

now, see here

20plus club (11)

YWCA, Sathon
หลังจากแยกทางกันเรียบร้อยแล้ว ผมรู้ข่าวทีหลังว่า เชอวอนได้ทำนัดไว้เพื่อบินไปแต่งงานกับ Hank ที่ america

ต่อมาทั้งคู่บินกลับมาซื้อบ้านและทำมาหากินที่ New Zealand

อดีตแฟนกลับไปทำงานเป็นผู้ช่วยคลินิกหมอ จนกระทั่งออกเกษียณอายุในวัย 71ปี เมื่อสองปีที่แล้ว

ส่วน Hank จากเมื่อก่อนเป็นครูสอนพลศึกษา ที่ รร ทางภาคใต้ของ America ตอนที่ไปเจอกับอดีตแฟนของผมทางเน็ต (ถ้าผมจำไม่ผิด)
พอมาถึง Wellington ก็มารับงานเป็นพนักงานที่ big box store
เมื่อหลายปีต่อมา เค้าก็เลิกทำงานนี้เพราะเป็นโรคซึมเศร้า (เชอวอนบอกผมในอีเมล)
และทำงานที่บ้านโดยผันตัวเองมาเป็นนักเขียนลักษณะตีพิมพ์ผลงานตัวเอง
ซึ่งผลงานแรกก็เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ เล่าเรื่องราวชีวิตแนวตลกในการปรับตัวเข้ากับชีวิตชาวกีวีที่ New Zealand
ต่อมาก็ผันตัวเองอีก มาเขียนในแนว sci fi
ผมพึ่งนึกถึงว่าตัว  Hank เป็นสมาชิกสโมสร 20-plus ที่ผมพูดถึงในหัวเรื่องนี้ได้เหมือนกัน
น่าจะถือโอกาสฉลองบ้าง
ไม่ใช่ฉลองในโอกาสได้เอาตัวรอดที่เมืองไทยอย่างผม
แต่ฉลองเมื่อได้คบกับ
เมียเก่าผม ที่ New Zealand เป็นเวลากว่า 20 ปี นั้นเอง

-
เปลี่ยนฉากกลับไปที่ กทม

ก่อนที่ผมจะมาถึง

ทางบริษัทที่จ้างผมเป็นนักข่าว

จองห้องพักไว้ให้ผมที่ YWCA แถวสาธร

ต่อมาเราต้องไปหาห้องเช้าของตัวเอง

ภายในสองอาทิตย์แรกผมได้เจอคนไทยเยอะมาก

เค้าดีใจที่จะได้รับรองฝรั่งอย่างผมที่เมืองไทย เหมือนเค้าไม่เคยเจอฝรั่งมาก่อน

ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอัดเข้าไปในเวลาอันสั้นๆ นั้น เต็มไปด้วยการเรียนรู้บนพื้นฐานความสุข

คนที่เราได้เจอกันในช่วงแรกนั้นมีดังนี้

1. ชาตรี หนุ่มพนักงานตอนรับที่ YWCA

เค้าพาผมไปกินข้าวมื้อกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน นอกนั้นก็พาไปหาครอบครัวเค้าที่ ตจว และตอนกลางคืน ก็แอบดอดมาเล่นกีตาร์ในห้องผมจนถึงรุ่งเช้าเลย

2. เอก หนุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ที่จอดประจำอยู่หน้า YWCA เป็นผู้ชายแท้แต่ชอบพาผมไปดูกะเทย cabaret ชื่อ Freeman แถวสีลม

3. เจย์ เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่พาผมไปกินเหล้าไทยที่บาร์แถวสุขุมวิท

4. มิสเตอร์บี หนุ่มน้อยน่ารักที่ทำงานเป็นเด็กเสริฟร้านกาแฟที่ตึก YWCA นั้น และจนกลายมาเป็นแฟนสุดที่รักของผมในที่สุด

ถ้าเชอวอนขโมยช่วงเวลาวัยรุ่นของผมไปอย่างที่พ่อแม่ว่า ภายในไม่กี่อาทิตย์แรกที่เราได้เข้ามาสู่อ้อมกอดของเมืองไทย

เรารื้อฟื้น lost youth นั้นให้กลับคืนมาได้เลย

-
ทางออฟฟิศผม เสนอตัวจัดการเรื่อง visa และ work permit ให้

เค้าทำแบบนี้ให้กับฝรั่งที่เค้าจ้างเป็นพนักงานทุกคน

เรื่องของมิสเตอร์บีนั้น

ผมเห็นร้านนี้มิสเตอร์บีทำงานอยู่เป็นหลายวัน แต่ไม่กล้าเข้าไปนั่ง เพราะดูจากบรรยากาศว่าน่าจะแพง

แต่วันหนึ่ง ผมเผลอตัวเดินเข้าไปนั่งเลย คงหิวมากมั้ง

ที่นี้ผมได้เจอกับเจ้าของร้าน

เป็นหนุ่มไทยตัวสูงๆ ที่มีรูปร่างสมชื่อ มีชื่อเล่นว่า 'ไจแอน' ที่พ่อแม่ตั้งให้

ไจแอนพูดภาษาอังกฤษเป็นและจูงมือผมให้ไปได้รู้จักกับพนักงานของเค้า

ร่วมถึงนายบีตัวยิ้มสวยดูร่าเริงนิสัยดี

พอดีมิสเตอร์บีพึ่งมาอยู่ กทม เหมือนกันหลังเดินทางจากบ้านเกิดที่ จว ชลบุรี

ไจแอนบอก:

'ตอนนี้มิสเตอร์บีนอนพักที่บ้านผม  อยากให้เค้าย้ายเข้าไปห้องไมเคิลเป็นเพื่อนกันไหม เค้าจะได้สั่งข้าวอร่อยๆ ให้กิน และช่วยแก้เหงาในชีวิตประจำวันด้วย'

ผมตกลงไว้เพราะอยากมีเพื่อน

ต่อมามิสเตอร์บีย้ายเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมห้องเรา

และเมื่อได้รู้จักกันและสนิทใจกันมากขึ้น เราตัดสินว่าจะออกไปหาห้องเช่าที่อื่นกัน

เป็นคนเดียวที่เรายังรักและเป็นคู่ใจจนถึงทุกวันนี้

ตอนนั้นแฟนใหม่เรา (มิสเตอร์บี) อายุแค่ 20 ต้นๆ และไม่เคยมาเที่ยว กทม มาก่อน

เราเลยได้เรียนรู้ กทม พร้อมไปด้วยกัน

เช่นในวันหยุด แฟนเรามิสเตอร์บีจะพาเราไปเที่ยวห้างเดินเล่น หรือนั่งเรือข้ามฝากดูวิวสวยๆ

และบางครั้งก็ซื้อตั๋วรถบัสนั่งกลับไปหาพวกญาติเค้าที่ชลบุรีด้วย

เรื่องของทรัพย์สินส่วนตัว ช่วงแรกคบกับเราไม่ค่อยมีอะไร แฟนทำงานที่ร้านกาแฟของพี่ไจแอน

ผมมีงานที่ นสพ นั้นแต่เงินเดือนรวมแล้วยังน้อยอยู่

วันนั้นที่บินมาถึงเมืองไทย ผมมีติดตัวมาแค่กระเป๋าเดินทางกับกีตาร์ตัวหนึ่ง แค่นั้น

มีเงินเก็บแต่ไม่เยอะ

สรุปแล้วเราต้องเริ่มสร้างชีวิตคู่จากรากฐานเปล่าๆแบบนี้จริงๆ

แฟนจัดหาห้องเช่าให้เราได้ที่ฝั่งธน ในตลาดเก่าๆ ชื่อ ตลาดพลู

และใช้ชีวิตร่วมกันของเรา ไทยผสมฝรั่งเริ่มต้นที่นั้นจริงๆ (อ่านได้ต่อที่นี้ เป็นภาษาอังกฤษ)

now, see here

Wednesday, 27 September 2023

20plus club (10)

Christchurch Cathedral ก่อนแผ่นดินไหว 2554 ทำให้เสียหาย

จะว่าไปแล้ว ปกติเชอวอนจะปฏิเสธเสมอถ้
าผมขอเลิกคบกัน

เค้ากลัวว่าถ้าโดนทิ้งจะไม่มีเงิน และไม่มีใครดูแล เพราะเค้าเริ่มจะแก่ตัวแล้ว

แต่หลังจากที่เชอวอนแอบไปเจอกิ๊ก เค้าก็เปลี่ยนใจทันที ยินดีที่ได้แยกทางกัน

เค้ายังปิดสาเหตุจริงๆ ที่ว่าได้ไปเจอกับคนใหม่แล้ว

Hank น่าจะมีตังค์ด้วย แต่เชอวอนวางแผนให้ผมออกค่าชดเชยก่อนถ้าอยากเลิกกันจริง

เค้าอยากให้ผมยกสมบัติร่วมให้เค้าโดยเล่นวาทกรรมว่า เรากำลังทิ้งเค้าโดยไม่เอาใจใส่ว่าชะตากรรมเค้าจะเป็นยังไง

Hank มีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้รึป่าวไม่รู้

แผนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเชอวอนให้เราจ้างทนายความ เพื่อจะจัดทำข้อตกลงทางกฎหมาย

เค้าอยากให้ทนายควบคุมการแบ่งสมบัตินั้น อาจจะคิดว่าถ้าเราลงเขียนรายละเอียดไว้ในเอกสารทางการผมคงไม่กล้าเบี้ยว

โดยเชอวอนเรียกร้องส่วนแบ่งเยอะมากเท่ากับสัดส่วน 70% ของทรัพย์สินทั้งหมด

ทั้งๆที่ผมทำมาหากิน full-time ตั้งแต่เรียนจบ ขณะเดียวกันที่ เชอวอน ทำงานแค่นิดเดียงเอง

เป็นวิธีการขูดรีดทรัพย์สินแบบแนบเนียนมาก

ที่มาอาศัยความรู้สึกผิดของผม ที่เป็นฝ่ายรุกที่จะขอเลิกกับเค้าก่อน

แค่นี้ยังไม่พอ

เชอวอนยังขู่ว่า ถ้าผมไม่จ่ายตามที่เค้าเรียกร้อง  เค้าจะขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องน่าอับอายเอาออกมาเปิดโปงให้ทุกคนรับทราบ

--

ผมยอมใจจ้างทนายเพื่อความสบายใจของแฟน

เวลาเรานัดคุยกับทนายกัน เชอวอนชอบอ้างว่า หลังแยกทางกันเสร็จ เค้าจะไม่มีใครดูแล ผมต้องเห็นใจเค้าบ้าง และโยนทรัพย์สินไปให้เค้า

เราจ้างทนายจากบริษัทกฎหมายดังๆ ที่ตีราคาแพงที่สุดในเมือง สองบริษัท (เวลาปรึกษาทนาย ผู้เป็นคู่ที่กำลังเลิกกันต้องจ้างทนายความคนละบริษัทกัน)

ทนายบอกชัดเจนว่า ถึงจะตกลงแบ่งทรัพย์สินกันและลงลายเซ็นชื่อกันตามที่เชอวอนต้องการ

กดหมายจะไม่มีบังคับใช้อยู่ดี เพราะเราไม่ได้แต่งงานกัน

เราไม่ต้องให้อะไรสักนิดเลย เลิกก็เลิกกันไป เค้าพูดแบบนี้แต่แฟนเราไม่สนใจ

(ในปี 2002 รัฐสภา New Zealand ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายที่จัดให้ de facto couples หรือคู่รักโดยพฤตินัย ได้รับสิทธิแบ่งทรัพย์สินที่เท่าเทียมกันถ้าเลิกกัน แต่ผมเลิกคบกับเชอวอนก่อนหน้านั้นแล้ว)

ถ้าแต่งงานกันจริงเราต้องแบ่งทรัพย์สินกัน 50 ต่อ 50 แต่กรณีของเราไม่ใช่

ทนายผมถึงแนะนำไม่ให้ลงเซ็นชื่อ

'ถึงจะบังคับใช้ไม่ได้ ยังไงๆ นิติกรรมนี้ก็ไม่แฟร์ เค้าเรียก 70% ได้ยังไง ฉันแนะไมเคิลไม่จ่ายเงินหรือยกอะไรให้ฝ่ายเค้าที่เกินกว่าครึ่งหนึ่ง'

ทนายผมว่ายังนี้

วันนั้นที่เราทำนัดเจอกันเพื่อเซ็นชื่อลงในสัญญา

ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าผมยอมใจเซ็นจริงหรือไม่

แต่เรื่องนี้ก็ไร้สาระตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

ผมยังเป็นห่วงว่า ชีวิตแฟนจะเป็นยังไงหลังเลิกกัน

สุดท้ายผมก็ยังให้เค้าเยอะหน่อย แต่ไม่ถึง 70% หรอก

ผมรู้สึกสงสารเค้า และอยากช่วยถ้าเป็นไปได้

ตอนนั้นผมลืมไปว่า สักวันผมอาจจะเจอคนใหม่ด้วยเหมือนกัน

ไม่ใช่เชอวอนคนเดียวหรอกที่จะมีอนาคต

ถ้าเรายกให้เยอะตามที่เค้าเรียก เราจะเหลืออะไรให้ตัวเองวะ

จบธุระทนายความแล้ว ผมวางขายบ้านเราต่อ

ขายเสร็จก็นำรายได้เอาไปใช้หนี้สินจนหมด

พร้อมโยนทะเบียนรถเก๋งไปให้แฟนฟรีๆ

และยกทิ้งข้าวของในบ้านเกือบหมดให้เชอวอนด้วย

รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้พื้นเมือง ราคาแพงๆ ที่เราซื้อกันมาที่ ตจว

โชคดีที่เราจับได้ว่าจริงๆแล้วแฟนเราได้ไปมีกิ๊กซะแล้วด้วย

ถ้าไม่อย่างนั้นผมอาจจะเสียมากกว่านี้ก็ได้

แต่ผมไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปยุ่งกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของผม

เป็นเงินที่เราเก็บไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานเมื่อ 10 ปีก่อน ยอดรวมหลายหมื่นดอลล่าเลย

ผมใจแข็งไว้ในเรื่องเงินก้อนนี้ เลือกเก็บไว้ใช้เองทั้งหมด

เป็นเงินที่เชอวอนอยากได้มากที่สุด แต่ผมไม่ให้สักดอลล่าเดียว

เราต้องใช้เงินนี้เอาไว้เป็นหลักคำประกันในยามคับขัน

ผมไม่ได้รู้สึกผิดที่ไม่ได้แบ่งส่วนนี้ ถึงจะดูตระหนี่ขี้เหนียวก็เหอะ

เค้าได้มีผัวใหม่แล้วนิ จะให้ไปทำไม อยากได้ตังค์ก็ต้องไปขอแฟนเค้าเองสิ

ก่อนที่ผมจะบินออกไปถึงเมืองไทย เชอวอนยอมรับความจริงว่า เค้าได้เจอคนใหม่แล้ว

แต่ผมไม่สนใจ อยากทำก็ทำไป

วันก่อนจะบินออกไป ผมแวะนั่งโบสถ์ฝรั่งที่ใจกลางเมือง Christchurch เพื่อจะขอพรพระเจ้าให้คุ้มครอง

และไปหาพ่อแม่ที่บ้านเพื่อลาก่อน

เสร็จแล้วผมขับรถไปหาเชอวอนที่บ้านเรา

เรานัดเจอกันกินข้าวมื้อสุดท้าย

เชอวอนที่ยังมีสิทธิครองบ้านเราที่ St Albans  (ผู้ซื้อยังไม่ได้เข้า)

คุยไปคุยมาเค้าดันเกิดอารมณ์ทางเพศ

ตอนที่เราปิดบ้านกัน เค้าหันกลับไปดูห้องนอนและถามผมว่า

'อยากมีอะไรเพื่อจดจำช่วงเวลาดีๆ ของเราบ้างไหม'

ไม่นะครับ เวลาของเราผ่านไปแล้ว  ผมไม่มีอารมณ์แบบนั้นแล้ว

ผมนึกเผลอในใจ

ว่าเราเคยเห็นเชอวอนเขียนถึง Hank ในอีเมลแอบๆนั้นว่า

'I haven't had a man make decent love to me in so long.'

อ้อวววว! ถ้าผมเล่นเซ็กห่วยขนาดนี้ จะให้เรามาร่วมเล่นเซ็กกันบนเตียงกันอีกทำไมเล่า มืงมีคนใหม่แล้ว ไปขอเค้าดีกว่าไม่ใช่เหรอ

เอาเถอะ ยังไงผมก็ไม่เอาอยู่ดี

กินข้าวเสร็จ ผมเดินทางไปที่สนามบิน

ขึ้นเครื่องแล้วผมรู้สึกว่า ผมได้ฟรีดอมกลับคืนมาเป็นครั้งแรก 15 ปี

ผมบินออกจากชีวิตเก่า

ลาก่อนเมือง Christchurch

พร้อมทิ้ง พวกเพื่อน ญาติ แฟนเก่า ช่วงอดีต และอนาคตที่เกี่ยวข้องกับ New Zealand ไปด้วยกันทั้งหมดรวดเดียวเลย

now, see here

Tuesday, 26 September 2023

20plus club (9)

Hawkes Bay
ที่จริงแล้วเชอวอนได้เจอคู่ครองใหม่ไปแล้ว แต่ไม่ยอมบอกผม

เค้ามีกิ๊กเป็นชาวอเมริกา ชื่อ Hank

เค้าเจอกันทางออนไลน์

ทั้งคู่นัดคุยกันเป็นประจำตอนเช้ามืด โดยใช้คอมที่บ้านผม ตอนที่ผมยังนอนหลับอยู่

ตอนแรกผมไม่รู้เรื่อง

แต่พอเห็นพฤติกรรมมีพิรุธของแฟน ก็ไปแอบเปิด email ของเชอวอนดู (ผมรู้จักรหัส)

แล้วก็ลองดูซิว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่

ถึงจับได้ว่าเค้าไปมีกิ๊กซะแล้ว

Hank นี่อายุแก่กว่าผม แต่ยังน้อยกว่าเชอวอน

ผู้ชายรุ่นเดียวกันไม่ค่อยสนใจเชอวอน เค้าเลยต้องข้ามรุ่นไปกินเด็กแทน

เมื่อแอบดูอีเมลที่เค้าส่งหากัน

ผมได้รู้ว่า เชอวอนและ Hank ได้เจอกันในชีวิตจริงแล้วด้วย

เค้าแอบนัดกันไปมีอะไรกันที่บ้านเพื่อนของเค้า

คือ Hank บินมาจาก America เพื่อจะได้มาเจอเชอวอนตัวจริง

เค้าใช้เวลาได้รู้จักกันเชิงลึกไม่กี่วันเอง ก่อน Hank
ต้องบินกลับไปประเทศบ้านเกิดคนเดียว

แต่เค้าได้ติดใจแฟนเราไปซะแล้ว

ผมยังจำทริปนั้นของแฟนได้ดี

หลังงจากเราตกลงไว้ว่าจะเลิกกัน เค้าอ้างว่าอยากพักสมองไปเที่ยวบ้าง

เลยบินไปหาเพื่อนเก่าในอำเภอ Hawkes Bay ที่ภาคเหนือของ New Zealand

เพื่อนคนนี้เป็นนักธุรกิจรวยๆ ชื่อ Craig

เค้าเคยชวนเราไปนอนพักที่บ้านเค้าสมัยที่เรายังอยู่ที่  Wellington

ตอนนั้นผมยังเป็นหนุ่มหล่อๆอยู่ด้วย

อีCraigนี้ เป็นพวกอีแอบ เคยแต่งงานและมีลูกสองคนเรียบร้อยแล้ว
แต่แยกทางกับเมียทีหลัง

มีข่าวลือแพร่มาถึงพวกเราที่ Christchurch ว่า อีCraig แอบชอบหนุ่มๆ มากกว่า

Oh, he's a shirt-lifter (เกย์) from way back," เพื่อน ผู้หญิงหนึ่งคน
ที่รู้จักเค้าจาก Hawkes Bay สมัยก่อน บอกแฟนผม

ผมจำได้ว่า คืนแรกที่เราไปนอนพักที่บ้านมัน

อาการอีแอบของอีเครกแสดงออกชัดเชน

พอดึกเข้า เครกเร่งให้เชอวอนรีบเข้านอนเลย โดยไม่ต้องรอผม

'The men want to talk.' เครกอ้างอย่างนี้ หมายถึงว่าเค้าอยากนั่งคนเดียวกับผม

หลังจากเชอวอนยอมใจไปนอนก่อน เครกหายตัวจากห้องแป๊บหนึ่ง

ก่อนประกฏตัวกลับมาโดยสลัดเสื้อผ้าเกือบหมดเหลือแค่ชุดคลุมอาบน้ำ

เตรียมตัวไปทำอะไรกับผม พอจะนึกออกได้

พร้อมด้วยการแข็งตัวส่วนลับของผู้ชายที่ห้อยโตงเตงใต้ผ้าชุดคลุมอาบน้ำ

ผมตกใจ ไม่กล้ามองดู และแน่นอนไม่ได้จับ

'Don't tell her.'

เค้ากำชับหลายครั้ง

แน่นอนมันกลัวว่าแฟนผมจะจับได้ว่ามันชอบผมในตอนนั้น

ผมคิดแต่ว่า จะให้เราทำอะไรนะจ๊ะ  แฟนเราพึ่งไปนอนที่ห้องใกล้ๆ

เอาให้ผมบริการคุณเหมือนเด็กอ๊อฟเลยเหรอ

ผมรีบขอตัวไปนอน และโชคดีอีเครกไม่ได้ว่าอะไรหรือทำอะไรบ้าๆอีก

แต่พอเรานึกถึงบทบาทกวนๆที่เค้าจะเล่นในช่วงต่อมา

หลังจากผมละแฟนตกลงเลิกกัน และอีเครกเปิดบ้านเป็นเจ้าภาพรับคู่รักป้ายแดง
เชอวอนและ Hank นั้น ไปเสพสุขกันแบบ dirty weekend
โดยเก็บเรื่องทั้งหมดให้เป็นความลับไม่พูดอะไรกับผม

ผมต้องถามในใจว่า นี่มืงแค้นใจรึเปล่าที่ผมไม่ยอมช่วยมึงปลดความใคร่ในคืนนั้น

now, see here

20plus club (8)

Back to Christchurch
ผมไม่มีทางเลือก ต้องขายบ้านสุดที่รักและกลั
บไปที่ Christchurch ตามที่

บก Tim เรียกในปี 1998

โรคซึมเศร้าเริ่มจะที่กำเริบตอนนั้น

พอกลับไปที่ Christchurch รอบสุดท้าย

ความความสัมพันธ์กับพ่อแม่ค่อยยังชั่ว
เค้าชวนผมและเชอวอนไปกินข้าวกันที่บ้านเค้าเป็นประจำ

เค้าคงรู้แล้วว่า ถ้าเราจะเลิกคบกัน เราต้องเป็นฝ่ายทำเอง
เค้าจะเป็นตัวเสี้ยนหนามแหย่ให้เราเลิกกันไม่ได้

ส่วนงานที่ นสพ ของเราก็ราบรื่นดี เรากลายเป็น star reporter คนหนึ่งที่
บก มอบหมายงานใหญ่ไว้ให้เป็นประจำ

เราได้ไปซื้อบ้านใหม่ด้วยในอำเภอ St Albans
ใกล้ใจกลางเมืองแต่ไม่มีหาดทรายไว้ไปเดินเล่นเหมือนที่ Lyall Bay

สรุปแล้ว เราเหลือแต่ปัญหาเดิมๆที่ไม่อยากพูดถึง
คือผมเบื่อแฟนและชีวิตคู่ แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี

พอเข้าปี 2000 ต้นๆ

เราแอบไปหาเพื่อนรุ่นพี่

แม่จู๊ดที่เคยส่งลูกชายไปเรียนที่ รร ที่พ่อเราทำงาน และเป็นเพื่อนของแฟนเรา

เรารู้จักจู๊ด และมีผัวชื่อ พีท ตั้งแต่หลายปีก่อน
ที่เค้ายังเป็นชาวนาในแถบ Canterbury ห่างจาก Christchurch สัก 2-3 ชม

พี่พับเสื่อเลิกทำนาและย้ายกลับไปที่เมือง Christchurch
หลังจากเจอปัญหากับธนาคารที่ปล่อยกู้ให้เค้า

ท่ามกลางเศรษฐกิจตกต่ำทางธนาคารปรับค่าดอกเบี้ยสูงลิบ
จนพี่พีทใช้หนี้ไม่ไหว และถูกธนาคารยึดที่ดินเค้าในที่สุด

สร้างความเครียดและนำไปสู้สถานการณ์ที่แม่จู๊ดและพ่อพีทแยกทางกัน
และกระตุ้นทำให้แม่จู๊ดเกิดเป็นโรคซึมเศร้าด้วย

วันนั้นที่ดอดไปหาเค้าที่บ้าน ผมรู้สึกหนักใจ และอยากระบายอารมณ์

เค้าก็กำลังเลิกกับผัวอยู่ด้วย

'ผมรู้สึกอึดอัดใจและอยากเลิกกับแฟน จะทำยังไงดี' ผมบอก

แม่จู๊ดพูดโพล่งออกมาเลย:

'ยากเลิกก็เลิกซิ เดินกลับบ้านเดี๋ยวนี้แล้วบอกเค้าไป อย่าอ่อนแอ'

เชอวอนและเค้าเป็นเพื่อนกันแต่แม่จู๊ดไม่แคร์

ผมเดินกลับบ้าน และทำตามที่เค้าแนะนำ

'ผมขอเลิกและเริ่มต้นใหม่ ไม่ได้เจอใครนะ แต่อยากมีฟรีดอมฟื้นกลับมา' ผมพูด

ผมไม่ได้คาดว่าแฟนจะตอบสนองดีหรือไม่ เพราะผมเคยลงดาบแบบนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว

แต่เจอแฟนปฏิเสธเลยแล้วก็โน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนใจได้เสมอ

แต่วันนี้โชคเข้าข้างตัวเรา

เค้ายอมให้เราเลิกกัน

'ฉันเห็นด้วยว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องแยกทางกัน และเริ่มมีชีวิตใหม่ทั้งคู่'
เค้าบอก 'แต่แกต้องดูแลฉันด้วยนะ'

now, see here

20plus club (7)

จากซ้ายมือสุด: อาคารรัฐสภา, the Beehive, Bowen House
Wellington ทันสมัยมากกว่า Christchurch

เป็นเมืองหลวง มี่ข้าราชการ และศิลปินเยอะ

ผมได้เป็นนักข่าวแนวการเมืองเต็มที่

ผมทำงานที่ the press gallery

ในออฟฟิศย่อยของ The Press

มีเพื่อนร่วมงานอีกสามคน

จาก Parliament นั้นเราส่งข่าวการเมืองลงไปที่ Christchurch
ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท

ในวงการงานนี้ไม่ได้มีนักการเมืองอย่างเดียวหรอก

เราต้องนับถึงพวกแนวหน้าที่มีหัวคิดเรื่องนักการเมืองที่ปฏิบัติงานในเบื้องหลัง เช่น พวก press
secretary, analyst ฯลฯ

หนึ่งในนั้นที่ผมได้รู้จักและสนิทใจกันสมัยนั้นคือ Matthew Hooton
ซึ่งเป็นนักเขียนสุนทรพจน์ และโฆษกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชื่อ
Dr Lockwood Smith

Matthew อายุแค่ 21ปีเอง แต่ติดตามกระแสการเมืองตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียนเลย

พรรคการเมืองใหญ่ National คุมรัฐบาลสมัยนั้น

Matthew ได้รับแรงบันดาลใจจากพวกนี้
ที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมตามแนวคิดของพวกอนุรักษ์นิยม

พอได้รู้จักกันผมและ Matthew กลายเป็นคู่คิดจิตวิญญาณในอุดมคติเดียวกัน

เราชอบมโนกันว่า เราเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของทีม National

Matthew ดรอปเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อได้รับโอกาสทำงานให้ ร.ม.ต Dr Smith

ซึ่งกำลังยกเรื่องการศึกษาครั้งใหญ่
เป็นการปฏิรูปที่มุ่งเน้นแนวคิดตลาดเป็นหลัก ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยพรรค
National แบบรุ่นใหม่

Matthew และผมเจอกันบ่อยในระยะเวลา 5 ปี นั้น ที่ผมอยู่ที่ Wellington

หลังจากพรรค  National แพ้การเลือกตั้ง ใน 1999 Matthew เลิกทำงานในวงการเมืองโดยตรง

และเปลี่ยนงานก้าวเข้าไปในวงการงาน PR

แล้วกลับไปเรียนต่อ แต่งงานและไปมีครอบครัวแล้วด้วย

สมัยนี้ เค้าผันแปรตัวเองไปเป็นนักวิจารณ์ทางด้านการเมือง
ที่ใครๆรู้จักกันในวงการนี้แบบกว้างขวางทั้งที่ New Zealand และ Australia ด้วย

เป็นผู้เชียร์ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเหมือนเดิม

Matthew รู้ตัวดีว่าสมัยนั้นที่ทำงานใน Beehive เค้าเคยเป็นเด็กหัวรุนแรง

เราเคยเห็นเค้าให้สัมภาษณ์ที่พูดถึงสมัยนั้นที่เรารู้จักกัน

'เราเป็นเด็กที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก' เค้าว่าอย่างนี้
โตแล้ว: Matthew Hooton


แล้วเค้าพูดจริงด้วย

สมัยนั้น เรานัดเจอกันที่ Beehive bar เพื่อจะแลกความคิดเห็นกัน

The Beehive เป็นตึกรูปร่างรังผึ้ง ในเขตรัฐสภาที่ฝ่ายผู้บริหาร รวมถึง
รมต ทั้งหมดทำงาน

The Beehive bar เปิดแต่เช้า ประมาณ 11am

ถ้า Matthew ไม่ติดงานผมมักจะได้รับสายตรงจากออฟฟิศเค้าใน Beehive

พอเห็นหมายเลขภายในของเค้าปรากฏ

ผมรู้เลยว่าเค้าต้องการอะไร - กิน!

'อีกห้านาที' เค้าพูดสั้นๆ พร้อมหัวเราะคิกคักเหมือนเด็ก

เค้าจะบอกแค่นี้ หมายถึงว่าเค้าจะพร้อมเริ่มกินในอีก 5 นาที่

กลับไปที่ประเด็นของเรา

ผมและแฟนเช้าบ้านกัน ที่ Newtown เป็นอำเภอเล็กห่างจากเมืองหลัก 15 นาที

เห็นบ้านรูปมั้ย เป็นแนวนี่เรียกว่า workers cottage  ที่สร้างขึ้นมาช่วง 1900s

Mein Street เราเช่าบ้านนี้กันประมาณ 5 ปี  
เชอวอนเกิดและเติบโตที่ Wellington ด้วย

ตอนนที่เรายังอยู่ที่เมืองนั้น เราถึงได้โอกาสไปเที่ยวหาครอบครัวของเค้า

เราใช้ชีวิตสบายๆแบบนี้แหละเป็นเวลา 5.5 ปี

เชอวอนทำงานเป็นผู้ช่วยคลีนิคหมอ ออกจากบ้านแต่เช้า
ในขณะที่ผมเข้าออฟฟิศช้าประมาณเที่ยง เลยไม่ได้เจอกันทั้งวัน

ตามเวลาที่ผ่านไป ผมชักจะเบื่อกับงานเขียนข่าวการเมือง
ที่เราต้องเล่นประเด็นซ้ำซาก ทุกวัน

เหมือนเราวกวนซ้ำไปซ้ำมาไม่สิ้นสุด เจอแต่พวก press conference, budget
lock-up, press statement, campaign stop ต่อเนื่อง

จนผมเริ่มกินเหล้าหนัก และซุกตัวที่บาร์ parliament พร้อมกับแมทธิวนั้น ไม่สนใจงาน

ผมฆ่าเวลากินเหล้าสลับกับเรียนภาษาฝรั่งเศสเล่นๆ

ตอนเข้าปีที่ 5 ของการเช่าห้องที่ Wellington นั้น หลังจากเก็บตังค์ขยันๆ เป็นสองปี

เราลงทุนซื้อบ้านด้วยกัน ที่อำเภอ Lyall Bay ใกล้ฝั่งชายทะเล

Lyall Bay อำเภอเล็กที่ติดทะเลและใกล้สนามบิน Wellington ด้วย

เป็นครั้งแรกที่เราได้เป็นเจ้าของบ้านเลย หลังจากเช่าบ้านอย่างเดี่ยวตั้งแต่เริมคบกัน

แต่ทุกอย่างต้องหยุดกึก เมื่อในปี 1997

ทางบริษัทเราได้จัดตั้ง บก คนใหม่ ที่ประกาศว่าจะปฏิรูปด้านการงานใหม่ทั้งหมด
ร่วมถึงที่ออฟฟิศเราด้วย

ผมนั่งอุ้มหลานของแฟนที่ Wellington
Tim Pankhurst เรียกผมกลับไปที่ออฟฟิศใหญ่ เพื่อจะเสิรมทีมงานนักเขียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

โดยบินขึ้นมาที่ Wellington  และบอกพวกเราว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป

'ออฟฟิศนี้ดูใหญ่เกิน อยากเรียกหนึ่งคนกลับมาที่ Christchurch' บก Tim บอก

'เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าเป็นใคร'

เป็นคำสั่งที่สร้างความเครียดระหว่างทีมเล็กๆ ของเรา

และสุดท้ายเค้าลงดาบที่ตัวเรา

'บรรณาธิการแผนกสารคดีบอกผมว่า แกเขียนเก่ง ผมเลยเรียกแกกลับ' Tim
อธิบายหลังจากเผยชื่อเราว่าเป็นตัวเลือก

ถ้าย้อนรอยอดีตไปดู ผมเริ่มมีอาการซึมเศร้าด้วยความเครียด
ตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะไม่อยากกลับไป

ผมปฏิเสธ บก Tim ไว้และเรียกสหภาพแรงงานมาช่วยเจราจาด้วย

แต่ บก Tim ที่มี่ชื่อเสียงแข็งกร้าวไม่แพ้ใครง่ายๆ ก็ไม่ยอมผมเหมือนกัน

Tim Pankhurst
Tim ชอบส่งจดหมายทางการในเชิงข่มขู่ว่า ถ้าไม่ทำตามสั่งเค้า
ผมจะโดนไล่ออกจากบริษัทแน่

ผมก็โต้กลับว่า ตามจดหมาย เค้าไม่มีมีสิทธิ์เรียกกลับกระทันหันแบบนี้

'อย่างน้อยเราพึ่งซื้อบานมา ถ้าขายและขาดทุนใครจะรับผิดชอบ' ผมว่า

เราต่อสู้กันแบบนี้  เป็นเวลา 6 เดือนกว่า

จนทั้งคู่เลยจุดที่เราคุยกันรู้เรื่องได้แล้ว

จน Tim พลิกวิธีการเล่นกลโดยส่งผู้ใหญ่ที่เราสนิทใจและนับถือ เป็นรอง บก ของ
Tim คนหนึ่ง ขึ้นไปที่ Wellington
เพื่อจะเจราจาและโน้มน้าวใจผมให้กลับไปจนกระทั่งสำเร็จได้

ผมตกลงว่าจะกลับ เพื่อความสบายใจของทุกคน

เชอวอนเห็นด้วยกับผมว่า เราน่าจะกลับไป Christchurch และเริ่มต้นชีวิตอีกที

now, see here

Sunday, 24 September 2023

20plus club (6)

ผมสมัยทำงานที่ Christchurch Mid-Week Mail
เพื่อนร่วมงานผมก็เงียบเช่นกัน

แทบไม่มีใครกล้าเปิดประเด็นนี้มาคุย

ว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะคบกับผู้หญิงที่อายุย่างเข้าสู่วัย 30s

แต่คงคิดในใจแน่

ในเมื่อผมเป็นนักข่าวหนุ่มที่มีอนาคตสดใส ที่พอจะมีคนชื่นชมหน้าตาบ้าง (แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายจีบเล่นมากกว่าผู้หญิง)

บก คนแรกของผม ชื่อกลิน เป็นกรณียกเว้นที่ชอบหยิบยกเรื่องนี้มาพูด

กลินเป็น บก Christchurch Mid-Week Mail ที่สมัยนั้นเป็น นสพ ออกอาทิตย์ละ 2 ครั้ง แจกจ่ายไปทั่วเมือง

เค้าจ้างผมเป็นนักข่าวฝึกหัดเป็นเวลา 18 เดือนก่อนที่ผมจะเรียนจบ

ต่อมา ในปี 1988 เค้าจ้างผมเป็นนักข่าวจริง ประมาณอีก 6 เดือนก่อนที่ผมเปลี่ยนงาน

ลุงกลินก็กลายเป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่พาผมไปให้ได้รู้จักกับหลายคนในวงการนี้

และหลังจากผมลาออกจากงานที่ทำกับเค้า เราก็ยังนัดเจอกันกินเหล้ากันต่อไปอยู่เรื่อยๆ

คุยกันไปมา ปรากฏว่า พี่กลินเคยรู้จักกับพ่อของเชอวอนด้วย เนื่องจากทั้งคู่เคยเป็นนาวิกโยธินด้วยกันที่เมือง Wellington สมัยยังหนุ่มๆ

พี่กลินน่าจะรู้ภูมิหลังของครอบครัวแฟนผมได้ดี

พ่อของเชอวอน ชื่อจิม แต่เดิมเป็นช่างท่าสี

หลังแต่งงานและได้มีครอบครัวใหญ่ มีลูกตั้ง8คน ร่วมถึงเชอวอนเองด้วย ซึ่งเป็นลูกโตสุด

ก็เจอปัญหาเรื่องรายได้

เลยผันตัวไปเรียนอนุญาโตตุลาการซึ่งสมัยนั้นเป็นอาชีพใหม่ที่กำลังบูม

พ่อตาจิมเรียนตอนภาคค่ำหลังเลิกงาน

พอเรียนจบ จิมกลายเป็น arbitrator ที่พัฒนาตัวเองโดยตะกุยตะกายลากครอบครัวเข้าสู่ชนชั้นกลางในที่สุด

นอกจากพ่อตาจิมเอง เค้าไม่มีลูกคนไหนที่สนใจจะเรียนในระดับสูงๆ

ส่วนใหญ่ลูกๆ เค้าโตมาเป็นพ่อค้าแม่ค้า หรือลูกจ้างมากกว่า

เชอวอนฝึกเป็นนางพยาบาลจบแล้วก็ทิ้งงานนี้ไป เห็นบ่นว่าหนักเกินจะรับได้

และเนื่องจากว่าตัวแม่เค้า เคยใช้เชอวอนเป็นผู้ช่วยเลี้ยงน้องๆ ของเค้าด้วย จนเชอวอนเหน็ดเหนื่อยมากพอสมควร

พอโตมาเชอวอนไม่ชอบเด็กแล้ว เลยไม่อยากมีลูก

เอากลับที่ประเด็นพี่กลินหน่อย

สมัยนั้นพี่กลินใกล้จะออกเกษียณแล้ว

ตามนิสัยชอบพูดโผงผาง ออกคำสั่งเหมือนนายทหารเรือนั้นเอง

'ไมเคิล แกต้องเลิกกับผู้หญิงคนนี้' พี่กลินมักจะบอกผมทุกครั้งที่เจอกันที่ผับใกล้บ้านเรา

'คบหากับคนแก่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก แกยังเป็นเด็ก น่าจะล่าตามฝันในต่างประเทศดีกว่า เลิกกันซะ และเดินหน้าไปหางานทำที่ Australia,' พี่กลินพูดเสริม

'เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการทำงานก็ยิ่งดี เริ่มต้นไปหางานที่ นสพ ภาคเหนือ ไล่ลงไปชายฝั่งและรับจ้างไปเรื่อยกระทั่งถึงภาคใต้  ทำงานในแต่ละที่ไม่เกินหกเดือน  เสร็จแล้วค่อยกลับ'

ผมไม่ได้ทำตามที่พี่กลินแนะนำเพราะกลัวแฟนจะว่า แม้ว่าพี่กลินหวังดีให้กับเรา

ต่อมาผมต้องหัวเราะเมื่อได้ข่าวว่า พี่กลินได้เจอนางสาวคนหนี่ง และตกหลุมรักกัน

จากเมื่อก่อนที่พี่กลินแนะให้ผมเลิกกับเชอวอนเพราะอายุห่างกันเกินไป

ปรากฏว่าพี่กลินก็ชอบเด็กไม่ต่างกับแฟนผมเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กลินกับผู้หญิงคนนี้ที่ ชื่อ Mary Ann พัฒนาขึ้นจนเค้าตกลงปลงใจจะแต่งงานกัน

คู่รักสองคนนี้อายุห่างกันเยอะมากจนครอบครัวของพี่กลินไม่แฮปปี้และแตกร้าวกันไป

Mary Ann เป็นลูกของเพื่อนพี่กลิน

ตอนที่เค้าเจอกัน พี่กลินอายุ 55ปีแล้ว แต่ Mary Ann อายุแค่ 27ปี เอง

ก็เรียกได้เลยว่า วัวแก่กินหญ้าอ่อน หรือกินเด็กนั้นเอง

เค้าแต่งงานกันแล้วได้มีลูกด้วยกันสองคน

พี่กลินเคยแต่งงานไปแล้วแต่เลิกกับเมียหลายปีก่อน

แต่สุดท้ายเค้ากับ นส Mary Ann ไปไม่รอดเหมือนกัน

นสพ The Press ลงข่าวเกี่ยวกับพี่กลิน ในสกู๊ปข่าวเดือนมีนาคม 2012

เล่นประเด็นข่าวว่า 'พ่อคนแก่ที่ดันไปสร้างครอบครัวใหม่'

นักเขียนได้สัมภาษณ์กับพี่กลินด้วย ว่าประสบการณ์เค้าเป็นยังไง

สกู๊ปข่าวดังกล่าวว่าบอกว่า

Rachel was born in 1993, just after he turned 60, and Sarah followed in 1995. His retirement party was held about a month before Rachel's first day at school.

Glyn Clayton was 31 when he had his first child. He had just celebrated his 62nd birthday when his last was born.

By the time the two youngest girls were in their mid-teens, Clayton's second marriage broke up. In part, it was because of the vast age gap, he says.

พี่กลินคงไม่รู้สึกอับอายหรอกที่ได้ไปแต่งงานกับ ผู้หญิงที่อายุน้อยเท่ากับลูกสาวตัวเอง

เพราะสังคมเรามีสองมาตราฐานชัดๆในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพศ

ผู้ชายแก่กินเด็กผู้หญิงแต่ผู้หญิงแก่ที่ทะลึ่งไปคบหากับผู้ชายอายุน้อยกว่า ก็ถูกสังคมตีตราว่า อีกะหรี่ หรือ sugar mummy นั้นเอง

แต่ขอกลับไปที่เรื่องเดิม

ผ่านไปประมาณ สามปีหลังคบหากับเชอวอน

ในบรรยากาศเคร่งเครียดระหว่างผมและครอบครัวผม

ทางบริษัทเราเปิดโอกาสให้ผมโยกย้ายไปทำงานที่เมือง Wellington ซึ่งห่างจาก Christchurch ใช้เวลาบินไปประมาณ 2 ชม

ผมดีใจที่ได้ไปไกลจากครอบครัวผม

เราเห็นพ่อแม่เป็นตัวกวน พร้อมที่จะติเตือนปั่นหัวเราเสมอ

ผมอยากหลบอิทธิพลของเค้าถ้าเป็นไปได้

now, see here

โพส์ตเด่น

Mr Handsome returns

Mr Handsome เป็นผู้ชายไทยเกย์หนุ่มที่ เคยเขียนโพสต์ให้บล็อก Bangkok of the Mind หรือ BOTM2 (เป็นรุ่นพี่ของบล็อกฉบับนี้) เป็ นประจำหลายปีก่อน...

โพส์ตนิยม