จากซ้ายมือสุด: อาคารรัฐสภา, the Beehive, Bowen House |
เป็นเมืองหลวง มี่ข้าราชการ และศิลปินเยอะ
ผมได้เป็นนักข่าวแนวการเมืองเต็ มที่
ผมทำงานที่ the press gallery
ในออฟฟิศย่อยของ The Press
มีเพื่อนร่วมงานอีกสามคน
จาก Parliament นั้นเราส่งข่าวการเมืองลงไปที่ Christchurch
ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท
ในวงการงานนี้ไม่ได้มีนักการเมื องอย่างเดียวหรอก
เราต้องนับถึงพวกแนวหน้าที่มีหั วคิดเรื่องนักการเมืองที่ปฏิบั ติงานในเบื้องหลัง เช่น พวก press
secretary, analyst ฯลฯ
หนึ่งในนั้นที่ผมได้รู้จั กและสนิทใจกันสมัยนั้นคือ Matthew Hooton
ซึ่งเป็นนักเขียนสุนทรพจน์ และโฆษกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึ กษาธิการ ชื่อ
Dr Lockwood Smith
Matthew อายุแค่ 21ปีเอง แต่ติดตามกระแสการเมืองตั้งแต่ ยังเป็นเด็กนักเรียนเลย
พรรคการเมืองใหญ่ National คุมรัฐบาลสมัยนั้น
Matthew ได้รับแรงบันดาลใจจากพวกนี้
ที่อยากเปลี่ยนแปลงสั งคมตามแนวคิดของพวกอนุรักษ์นิยม
พอได้รู้จักกันผมและ Matthew กลายเป็นคู่คิดจิตวิญญาณในอุ ดมคติเดียวกัน
เราชอบมโนกันว่า เราเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ยิ่ งใหญ่ของทีม National
Matthew ดรอปเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อได้รั บโอกาสทำงานให้ ร.ม.ต Dr Smith
ซึ่งกำลังยกเรื่องการศึกษาครั้ งใหญ่
เป็นการปฏิรูปที่มุ่งเน้นแนวคิ ดตลาดเป็นหลัก ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยพรรค
National แบบรุ่นใหม่
Matthew และผมเจอกันบ่อยในระยะเวลา 5 ปี นั้น ที่ผมอยู่ที่ Wellington
หลังจากพรรค National แพ้การเลือกตั้ง ใน 1999 Matthew เลิกทำงานในวงการเมืองโดยตรง
และเปลี่ยนงานก้าวเข้ าไปในวงการงาน PR
แล้วกลับไปเรียนต่อ แต่งงานและไปมีครอบครัวแล้วด้วย
สมัยนี้ เค้าผันแปรตัวเองไปเป็นนักวิ จารณ์ทางด้านการเมือง
ที่ใครๆรู้จักกันในวงการนี้ แบบกว้างขวางทั้งที่ New Zealand และ Australia ด้วย
เป็นผู้เชียร์ฝ่ายอนุรักษ์นิ ยมเหมือนเดิม
Matthew รู้ตัวดีว่าสมัยนั้นที่ทำงานใน Beehive เค้าเคยเป็นเด็กหัวรุนแรง
เราเคยเห็นเค้าให้สัมภาษณ์ที่พู ดถึงสมัยนั้นที่เรารู้จักกัน
'เราเป็นเด็กที่ต้องการเปลี่ ยนแปลงโลก' เค้าว่าอย่างนี้
แล้วเค้าพูดจริงด้วย
สมัยนั้น เรานัดเจอกันที่ Beehive bar เพื่อจะแลกความคิดเห็นกัน
The Beehive เป็นตึกรูปร่างรังผึ้ง ในเขตรัฐสภาที่ฝ่ายผู้บริหาร รวมถึง
รมต ทั้งหมดทำงาน
The Beehive bar เปิดแต่เช้า ประมาณ 11am
ถ้า Matthew ไม่ติดงานผมมักจะได้รั บสายตรงจากออฟฟิศเค้าใน Beehive
พอเห็นหมายเลขภายในของเค้าปรากฏ
ผมรู้เลยว่าเค้าต้องการอะไร - กิน!
'อีกห้านาที' เค้าพูดสั้นๆ พร้อมหัวเราะคิกคักเหมือนเด็ก
เค้าจะบอกแค่นี้ หมายถึงว่าเค้าจะพร้อมเริ่มกิ นในอีก 5 นาที่
กลับไปที่ประเด็นของเรา
ผมและแฟนเช้าบ้านกัน ที่ Newtown เป็นอำเภอเล็กห่างจากเมืองหลัก 15 นาที
ผมได้เป็นนักข่าวแนวการเมืองเต็
ผมทำงานที่ the press gallery
ในออฟฟิศย่อยของ The Press
มีเพื่อนร่วมงานอีกสามคน
จาก Parliament นั้นเราส่งข่าวการเมืองลงไปที่ Christchurch
ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท
ในวงการงานนี้ไม่ได้มีนักการเมื
เราต้องนับถึงพวกแนวหน้าที่มีหั
secretary, analyst ฯลฯ
หนึ่งในนั้นที่ผมได้รู้จั
ซึ่งเป็นนักเขียนสุนทรพจน์ และโฆษกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึ
Dr Lockwood Smith
Matthew อายุแค่ 21ปีเอง แต่ติดตามกระแสการเมืองตั้งแต่
พรรคการเมืองใหญ่ National คุมรัฐบาลสมัยนั้น
Matthew ได้รับแรงบันดาลใจจากพวกนี้
ที่อยากเปลี่ยนแปลงสั
พอได้รู้จักกันผมและ Matthew กลายเป็นคู่คิดจิตวิญญาณในอุ
เราชอบมโนกันว่า เราเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ยิ่
Matthew ดรอปเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อได้รั
ซึ่งกำลังยกเรื่องการศึกษาครั้
เป็นการปฏิรูปที่มุ่งเน้นแนวคิ
National แบบรุ่นใหม่
Matthew และผมเจอกันบ่อยในระยะเวลา 5 ปี นั้น ที่ผมอยู่ที่ Wellington
หลังจากพรรค National แพ้การเลือกตั้ง ใน 1999 Matthew เลิกทำงานในวงการเมืองโดยตรง
และเปลี่ยนงานก้าวเข้
แล้วกลับไปเรียนต่อ แต่งงานและไปมีครอบครัวแล้วด้วย
สมัยนี้ เค้าผันแปรตัวเองไปเป็นนักวิ
ที่ใครๆรู้จักกันในวงการนี้
เป็นผู้เชียร์ฝ่ายอนุรักษ์นิ
Matthew รู้ตัวดีว่าสมัยนั้นที่ทำงานใน Beehive เค้าเคยเป็นเด็กหัวรุนแรง
เราเคยเห็นเค้าให้สัมภาษณ์ที่พู
'เราเป็นเด็กที่ต้องการเปลี่
โตแล้ว: Matthew Hooton |
แล้วเค้าพูดจริงด้วย
สมัยนั้น เรานัดเจอกันที่ Beehive bar เพื่อจะแลกความคิดเห็นกัน
The Beehive เป็นตึกรูปร่างรังผึ้ง ในเขตรัฐสภาที่ฝ่ายผู้บริหาร รวมถึง
รมต ทั้งหมดทำงาน
The Beehive bar เปิดแต่เช้า ประมาณ 11am
ถ้า Matthew ไม่ติดงานผมมักจะได้รั
พอเห็นหมายเลขภายในของเค้าปรากฏ
ผมรู้เลยว่าเค้าต้องการอะไร - กิน!
'อีกห้านาที' เค้าพูดสั้นๆ พร้อมหัวเราะคิกคักเหมือนเด็ก
เค้าจะบอกแค่นี้ หมายถึงว่าเค้าจะพร้อมเริ่มกิ
กลับไปที่ประเด็นของเรา
ผมและแฟนเช้าบ้านกัน ที่ Newtown เป็นอำเภอเล็กห่างจากเมืองหลัก 15 นาที
เห็นบ้านรูปมั้ย เป็นแนวนี่เรียกว่า workers cottage ที่สร้างขึ้นมาช่วง 1900s
Mein Street เราเช่าบ้านนี้กันประมาณ 5 ปี |
ตอนนที่เรายังอยู่ที่เมืองนั้น เราถึงได้โอกาสไปเที่
เราใช้ชีวิตสบายๆแบบนี้แหละเป็
เชอวอนทำงานเป็นผู้ช่วยคลีนิ
ในขณะที่ผมเข้าออฟฟิศช้
ตามเวลาที่ผ่านไป ผมชักจะเบื่อกับงานเขียนข่
ที่เราต้องเล่นประเด็นซ้ำซาก ทุกวัน
เหมือนเราวกวนซ้ำไปซ้ำมาไม่สิ้
lock-up, press statement, campaign stop ต่อเนื่อง
จนผมเริ่มกินเหล้าหนัก และซุกตัวที่บาร์ parliament พร้อมกับแมทธิวนั้น ไม่สนใจงาน
ผมฆ่าเวลากินเหล้าสลับกับเรี
ตอนเข้าปีที่ 5 ของการเช่าห้องที่ Wellington นั้น หลังจากเก็บตังค์ขยันๆ เป็นสองปี
เราลงทุนซื้อบ้านด้วยกัน ที่อำเภอ Lyall Bay ใกล้ฝั่งชายทะเล
เป็นครั้งแรกที่เราได้เป็นเจ้ าของบ้านเลย หลังจากเช่าบ้านอย่างเดี่ยวตั้ งแต่เริมคบกัน
แต่ทุกอย่างต้องหยุดกึก เมื่อในปี 1997
ทางบริษัทเราได้จัดตั้ง บก คนใหม่ ที่ประกาศว่าจะปฏิรูปด้ านการงานใหม่ทั้งหมด
ร่วมถึงที่ออฟฟิศเราด้วย
แต่ทุกอย่างต้องหยุดกึก เมื่อในปี 1997
ทางบริษัทเราได้จัดตั้ง บก คนใหม่ ที่ประกาศว่าจะปฏิรูปด้
ร่วมถึงที่ออฟฟิศเราด้วย
ผมนั่งอุ้มหลานของแฟนที่ Wellington |
โดยบินขึ้นมาที่ Wellington และบอกพวกเราว่าทุกอย่างต้
'ออฟฟิศนี้ดูใหญ่เกิน อยากเรียกหนึ่งคนกลับมาที่ Christchurch' บก Tim บอก
'เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าเป็นใคร'
เป็นคำสั่งที่สร้างความเครี
และสุดท้ายเค้าลงดาบที่ตัวเรา
'บรรณาธิการแผนกสารคดีบอกผมว่า แกเขียนเก่ง ผมเลยเรียกแกกลับ' Tim
อธิบายหลังจากเผยชื่อเราว่าเป็
ถ้าย้อนรอยอดีตไปดู ผมเริ่มมีอาการซึมเศร้าด้
ตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะไม่อยากกลับไป
ผมปฏิเสธ บก Tim ไว้และเรียกสหภาพแรงงานมาช่
แต่ บก Tim ที่มี่ชื่อเสียงแข็งกร้าวไม่แพ้
Tim Pankhurst |
ผมจะโดนไล่ออกจากบริษัทแน่
ผมก็โต้กลับว่า ตามจดหมาย เค้าไม่มีมีสิทธิ์เรียกกลั
'อย่างน้อยเราพึ่งซื้อบานมา ถ้าขายและขาดทุนใครจะรับผิดชอบ' ผมว่า
เราต่อสู้กันแบบนี้ เป็นเวลา 6 เดือนกว่า
จนทั้งคู่เลยจุดที่เราคุยกันรู้
จน Tim พลิกวิธีการเล่นกลโดยส่งผู้ใหญ่
Tim คนหนึ่ง ขึ้นไปที่ Wellington
เพื่อจะเจราจาและโน้มน้
ผมตกลงว่าจะกลับ เพื่อความสบายใจของทุกคน
เชอวอนเห็นด้วยกับผมว่า เราน่าจะกลับไป Christchurch และเริ่มต้นชีวิตอีกที
now, see here
No comments:
Post a Comment
เขียนเป็นไทยหรืออ้งกฤษก็ได้คับ Thai or English is fine...