Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts
Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts

Monday 18 November 2019

ไปฟื้นฟูสมรรถภาพ (4, final)

น้อง (ซายมือ) กับเพื่อนฝูง

'
เราต้องให้ลูกได้เรียนรู้การกระทำของเค้าด้วยแหละว่าเค้าก็ผิดที่ทำแบบนี้ (คือเล่นยาไม่รู้จักจบอย่างเมื่อก่อน)
'ถ้าอยากให้ใครๆรักตัวลูกเอง ลูกต้องนึกถึงคนอื่นบ้าง' แม่ว่าต่อ
โดยปริยายน่าจะหมายถึงว่า ถ้าแม่จะทำดีต่อลูกก่อน ลูกน่าจะทำดีตอบสนองให้ดีด้วย
ค่าตอบแทนที่ดีที่สุดคือเลิกเล่นนั้นเอง 
'เราต้องกลับไปคุยกับลูกใหม่ ว่าอะไรที่เค้ารู้สึกขาด จะทำอะไรให้เค้าสบายใจได้ แต่ลูกต้องให้เราช่วยด้วยกัน เราต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไปแม่พูดต่อ
แม่จะซื้ออะไรที่น้องคิดว่าขาดไป เช่นโทรศัพท์มือถือ หรือเสื้อผ้าดีๆ
เพื่อจะเสริมสร้างชีวิตเค้าช่วยป้องกันไม่ให้กลับไปเล่นยาต่อ
แม่คิดว่าลูกต้องเร่งรีบปรับตัวเอง เพราะเดี๋ยวชีวิตจะผ่านไป โดยน้องจะวิ่งตามไม่ทัน
ชีวิตอาจจะทิ้งห่างจากคนอื่นเค้า ไม่ทันเพื่อน เราเห็นพวกเพื่อนเค้าทำงานหรือหาเมียคบ แต่น้องยังเสียเวลาเล่นยาแม่ว่าไป
ถ้าน้องยอมเปลี่ยนตัวให้ดีขึ้น ก็แสดงว่าเค้าพร้อมที่จะรับผิดชอบตัวเองด้วย
พอน้องออกจาก รพ แล้ว แม่คิดว่างานที่เหมาะสมกับเค้ามากที่สุด ก็คือเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารที่เปิดตอนกลางคืน
'วัยรุ่นชอบตื่นเย็นๆอยู่แล้ว แถมบรรยากาศน่าจะตื่นเต้นดี คือมีฟิลเยอะแม่บอก
'เมื่อเจอประสบการใหม่คือได้มีงานทำ มีแฟนคบแล้ว ชีวิตเค้าจะเปลี่ยนมากขนาดไหนแม่ตั้งความหวังไว้
แต่แม่ยอมรับว่า เค้ายังงงๆอยู่เลยว่าทำไมลูกยอมใจ ตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดขนาดนี้
ในขณะที่ครอบครัวเค้ามีฐานะดี แต่ลูกกลับทำตัวไม่มีคุณค่า
เค้ามีโอกาสสร้างตัวเอง ดีกว่าเด็กคนอื่นในซอยอีกหลายคน แต่ลูกคนนี้เอาแต่เล่นยาและไปคบกับพวกพี่ขี้ยาอย่างเดียว
คนไทยเรียกว่า เด็กไม่รักดี
ยอมเสียทุกอย่างเพื่อยา
'สมัยเรียน ธีร์เป็นเด็กที่มีคนนิยมชมชอบมากจนเพื่อนวัยรุ่นรุมมาหาเค้าที่บ้าน แต่มาถึงตอนนี้นะ เค้าแทบจะไม่เหลือใครเป็นเพื่อนแล้วแม่บอก
-
อย่างที่ว่ากันไปแล้ว แม่ไล่ลูกออกจากบ้านให้ไปสู้กับชีวิตคนเดียว เพื่อเค้าจะเรียนรู้ว่า เค้าเลือกผิด
แต่น้องโกรธ ไม่ยอมใจแม่ได้ง่าย
ใช้ชีวิตล่อแหลมหลายเดือนจนสภาพจิตใจน้องเริ่มแย่ลงไปเรื่อย
จนเค้าอ่อนแอไร้สมรรถภาพช่วยตัวเองไม่ได้
และแม่ต้องรับเค้ากลับบ้านในที่สุด
ทั้งๆที่ลูกยังไม่ได้เลิกเล่นยา
ผมถามแม่ว่า เค้ายังยึดมั่นกับการใช้วีธิการสอนลูก แข็งกร้าวแบบนี้มั้ย
หรือเสียใจมากกว่า เพราะลูกกลับมาในสภาพแย่กว่าเดิม และได้ไปเจออันตรายในซอยด้วย
เรื่องนี้จะละเอียดอ่อนสำหรับแม่จริงแต่ผมอยากรู้
ผมเตือนแม่ว่า ตามนิสัยลูกก็ใจอ่อนอยู่แล้วไม่ค่อยมีประสบการณ์ดูแลตัวเอง
แถมยังน้อยใจแม่ด้วยที่ทำให้เค้าเจอกับความลำบาก
แม่อยากให้เป็นบทเรียน แต่ลูกคงไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก
ในมุมความคิดของผม แม่ก็เหมือนนักเล่นพนันที่มีความเสี่ยงสูงกับชีวิตลูกโดยไร้ประโยชน์
ถ้าเค้าแสดงความรักต่อลูกบ้าง น้องคงจะไม่ตกเหวลึกขนาดนี้ แม่ว่ามั้ย
ผมส่งแมสเซจดังนี้ไปถามแม่ 

ผม:

ผมไม่แน่ใจนะการปล่อยทิ้งเด็กแบบนี้ จะช่วยให้เค้าคิดได้จริงรึป่าว
อย่างที่แม่บอก เค้าจิตใจอ่อนแอ ลูกอาจคิดว่าเค้าโดนแม่ทิ้งไปเฉยๆก็ได้
เอาตัวอย่าง ในช่วงนั้นที่เค้านอนอยู่ในซอย
เค้าไม่ยอมให้ผมพูดถึงแม่เค้านะ ถ้าเผลอไปพูดผมมีเสี่ยงโดนตบหน้า 
แสดงว่าตอนนั้นเค้ายังโมโหแม่อยู่
หลังจากที่เค้าเจออุบัติเหตุ โดนเหล็กเสียบเข้าที่ขา ผมบอกน้องว่าจะซื้อพลาสเตอร์ยาให้
แต่เค้าต้องรออีกหลายวันถึงผมจะซื้อได้
พลาสเตอร์ยาขนาดใหญ่ๆ แบบนั้นหาซื้อยาก
มีวันหนึ่งน้องมาหาหน้าบ้านวุฒิ ผมยังไม่ได้ไปซื้อพลาสเตอร์ยานั้นให้
เค้าบ่นว่า 'ยังไม่มีอะไรดีขึ้น'
หมายถึงว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เค้าตามรับปาก
เหมือนผมผิดสัญญา
แต่รู้มั้ยนะแม่ พอผมซื้อพลาสเตอร์ยานั้นให้เค้าจนได้แล้ว
ซึ่งเราต้องเดินไปไกลมากถึงจะเจอร้านขายได้
เค้ากลับไม่สนใจเลย
เอาใส่ปิดแผลไปปุ๊บ ก็แกะออกทิ้งไปปั๊ป พลางยิ้มๆใส่ผม
เหมือนกับว่าเค้าอยากให้ผมแสดงความรัก ความเอ็นดูให้เค้ามากกว่าไปดูแลแผลจริงๆ
พอได้รู้สึกอุ่นใจแล้ว 
ความเจ็บปวดของแผลที่ขาก็กลับไม่สำคัญแล้ว
วันนั้นผมเอาใจใส่ลูกจนเค้าแฮปปี้ดีและลืมความเจ็บไป
ในโอกาสวันหน้าแม่อาจจะทำให้เค้าแบบนี้ก็ได้
ผมมั่นใจว่าถ้าน้องจะลดความดื้อลงหน่อย และยอมใจทำงานช่วยแม่
ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น
แม่ ตอบ

(ผมถามดูว่า การเลี้ยงแบบไม่แสดงความสนใจหรือเอ็นดูลูก แต่กลับปล่อยทิ้งมันไป ยอมรับจะไม่เวิร์กแล้วใช่มั้ย)
'คงจะใช่ (คือไม่สำเร็จ)
แม่ถึงต้องยอมอ่อนกับเค้า อาจจะต้องซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ
แต่ต้องอยู่ในพื้นฐานการทำงานเค้าด้วย (ว่าจะทำตัวดีขึ้นมั้ย)'

now, see here

ไปฟื้นฟูสมรรถภาพ (3)

แต่สำหรับคนข้างในซอย ถ้าเจอ เพื่อน ญาติ พี่น้อง เล่นกันบ่อย รูปภาพน่ากลัวๆ นี้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาชินตาซะแล้วจนทุกคนคงอยากลองเล่นดูบ้างสักครั้งในชีวิต ผลที่ออกมาก็คือ ถ้าน้องๆ เห็นผู้ใหญ่ในครอบครัว หรือในซอย เล่นกันเค้าคงจะทำตามโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เช่นเดียวกับน้องธีร์ ซึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันที่เต็มไปด้วยคนเล่นยา 
เช่น พ่อเค้าโดนจับขายยาบ้า เพื่อนบ้านเคยเล่นอีก เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายๆคนในซอยที่โดนจับเข้าคุกด้วย (เรารู้จักครอบครัวๆ หนึ่ง มีผู้ใหญ่สามคนที่ไปโดนจับขายยาบ้าและติดคุกไป จนลูกๆเค้าต้องไปอยู่กับญาติๆ ข้างนอก เพราะไม่มีใครเหลือไว้ดูแล) ถ้าเจอคนเล่นยา ระบาดขนาดนี้ ก็ไปลงโทษน้องๆ ที่อยากเล่นฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก เค้าแค่เลียนแบบคนอื่นที่ทำก่อนให้เค้าเห็น
-
สุดท้ายน้องตกลงว่าจะไปรักษาตัวตามคำแนะนำของหมอ
แม่และเต้ พาน้องไปส่งที่ ร พ เอง
เค้าต้องเดินทางกันไปไกล
ผมไม่ว่างพอที่จะไปส่งด้วยกันในวันนั้น
แต่แม่ส่งแมสเซจคอยอัพเดทให้ผมไปเรื่อย
เค้าบอกว่าน้องไม่ได้โวยวายหรือก่อปัญหาอะไรมากนักเวลาเดินทางไปที่โน่น
เพียงแต่ว่าน้องเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดออกมาเพราะขาดยา
แม่ยอมรับว่าการเดินทางกันวันนั้น เป็นครั้งแรกที่เค้าต้องอยู่ด้วยกับน้อง แบบใกล้ชิดเป็นนาน
ปกติเค้าจะแวะไปหาแม่ที่บ้านเพื่อจะขอตังค์เล่นยา เสร็จแล้วจะเดินกลับไปที่โต๊ะแปดไปอยู่กับเพื่อนต่อ
แม่ให้ตังค์ไปโดยดี ทั้งๆที่รู้ว่า ลูกจะเอาเงินนั้นไปทำอะไร
แต่ถ้าเดินทางไป ร พ ทริปนี้ผ่านไปด้วยดี การแอดมิดน้องก็เป็นคนละเรื่องกัน
แม่เล่าให้ฟังว่า พอไปถึง ร พ แล้วพวกเค้าต้องทำขั้นตอนแอดมิดผู้ป่วยก่อน

ธีร์นอนพักในขณะรอหมอมาตรวจในวันที่เข้า ร.พ. ไปบำบัดตัว

ในขณะรอให้หมอมาตรวจน้อง อยู่ดีๆ ธีร์ลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าออกไปข้างนอกโดยไม่ได้บอกใคร
'เมื่อน้องพุ่งลุกขึ้นและเดินออกไปกระทันหัน ทุกคนตกใจแม่เล่าให้ฟังต่อ
'ไปไหนลูกเค้ารีบถามน้อง
'
มีคนเรียกน้องตอบสั้นๆ
ที่จริงแล้ว ไม่มีใครเรียกน้องหรอก เค้าคิดไปเองด้วยอาการหูแว่วของเค้า
นางพยาบาลจับตัวเค้าแล้วก็เรียกหมอมาตรวจทันทีเลย 
นางพยาบาลก็เรียกหมอมาทันที
พอเค้าเห็นสภาพน้อง หมอสั่งให้น้องเข้า ICU เลย
เพราะกลัวเค้าจะตื่นตกใจทำร้ายกับตัวเอง หรือคนอื่น
หลังคุยกับน้องเสร็จ หมอบอกแม่ว่า น้องอาการแย่จนหวิดเป็นเด็กจิตเสื่อมหนักจริง  ถ้าแม่ปล่อยทิ้งลูกไปเล่นยานานกว่านี้อีก เค้ามีสิทธิ์ตกเป็นเด็กบ้าตลอดชีวิต หมอว่าอย่างนี้ แต่หมอบอกด้วยว่า ทาง ร พ ยังพอจะรักษาอาการได้ดี จนน้องจะหายกลับเป็นคนปกติได้ หมอแนะนำให้น้องรักษาตัวที่ ร พ เป็นเวลาสามเดือนเต็ม
เมื่อน้อง เข้าบำบัดตัว วันเสร็จแล้ว แม่โทรไปเช็คอาการลูก 
หมอบอกว่าอาการน้องเริ่มจะดีขึ้น นอนอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยยานอนหลับ
เค้านั่งนิ่งๆฟังหมอได้ ไม่มีอาการกระวนกระวายหายาเสพติด’ แม่บอกผมต่อ
'
เค้ายังเงียบๆ ไม่ค่อยพูดกับใครเหมือนโดนภาวะช๊อคไม่กล้าแสดงตัวออกเท่าไหร่
แต่หมอบอกว่าทาง ร พ จะช่วยเค้าตรงนี้ให้เค้ามีความมั่นใจตัวเองมากขึ้น'
แม่บอกอีกว่า
แรกๆ หมอจะให้ยาช่วยผู้ป่วยใจสงบ
แต่มาถึงเดือนที่สองที่สามโน่น เจ้าหน้าที่ผู้ดูแล จะชวนผู้ป่วยร่วมเล่นเกมส์และกีฬากัน
จากนั้นผู้ดูแลจะจัดงานฝึกจิตวิทยา และเปิดโอกาสให้น้องๆ ฝึกงานอาชีพอีกด้วย
-
น้องพึ่งเข้าบำบัดตัวแต่พวกเราเริ่มเป็นห่วงว่า 
พอกลับมาถึงบ้านแล้ว เค้าจะวนกลับไปเล่นอีกมั้ย
แม่มั่นใจว่าเค้าจะพยายามเลี่ยงเล่นทำตัวดีขึ้น
แต่ผมกลัวว่าพวกเพื่อนหรือสิ่งแวดล้อมจะดึงเค้ากลับไปเล่น
ทุกอย่างจะอยู่ที่น้องว่า จะตั้งใจเลิกและเริ่มต้นใหม่มากแค่ไหน
'ธีร์กลัวเองว่า เมื่อเค้ากลับบ้าน เค้าจะกลับไปดูดอีกแม่บอกผม
แม่ว่าโอกาสที่ลูกจะเลิกเล่นยาและพัฒนาตัวเอง จะขึ้นอยู่กับตัวเค้าเองมากกว่าหมอหรือแม่
'เราต้องรอดูอาการเค้า หลังจากบำบัดเสร็จ ว่าจะยอมใจช่วยตัวเองแค่ไหนแม่ว่าต่อ  
แม่และลูกต้องคุยกันหน่อย

now, see here

ไปฟื้นฟูสมรรถภาพ (2)

แม่ตอบว่า: อ๋อ วันนี้เราไปหาหมอธรรมดาเพื่อจะเช็คร่างกายเค้าเฉยๆ แต่ถ้าไมเคิลเป็นห่วงสภาพจิตเค้า แกก็พาไปหาหมออจิตแพทย์ก็ได้เลยค่ะ’ แม่พูดอย่างชื่นมื่น
อีกไม่กี่วันต่อมา แม่คงสังเกตุเห็นเองแล้วว่า ลูกยังไม่สบายอยู่ เลยพาน้องไปหาหมออีกคนที่เราพูดดังกล่าวข้างบน
โดยหมอคนนี้แนะให้น้องไปบำบัดตัว ที่ ร พ ธัญญารักษ์เลย
ต่อมาแม่และเพื่อนบ้านก็นั่งคุยกันเรื่องค่ารักษาที่เค้าอาจจะต้องเสียถ้าน้องจะไปบำบัดที่โน่น ว่าถ้าแพงจะจ่ายยังไงดี
เรื่องของเรื่อง จากนั้นแม่ก็โทรหาผมแล้วถามดูว่า ถ้าค่ารักษาจะแพงจริง ไมเคิลพอจะช่วยออกค่ารักษาด้วยกันได้ไหม เพราะแม่และเพื่อนกลัวว่าเงินไม่พอ
เราจะลงขันกัน เราคิดว่าน่าจะส่งเค้าเป็นหนึ่งอาทิตย์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน แม่บอก
ผมบอกว่าจะช่วยออกค่ารักษาได้แต่ไม่เยอะ
ที่จริงแล้วไม่อยากช่วยหรอกเพราะน้องทำตัวเอง แม่ปล่อยทิ้งให้เค้าเล่น 
แล้วน้องยังไม่ได้เลิกเล่นจนถึงวันนี้อีก

ผมแอบเข้าไปดูเว็บของทาง ร พ นี้ ค่ารักษาตัว แพงขนาดอาทิตย์ละ 5,000 บาท
เป็นห้องรวมไม่มีแอร์
แม่จะหาเงินเยอะขนาดนี้ได้ที่ไหน
เพราะหมอไม่ได้ให้รักษาแค่อาทิตย์เดียวหรอก
ทาง ร พ ให้น้อง ไปรักษาตัวเป็นหลายเดือน ไม่ใช่รีสอร์ทที่รับพวกดารารวยๆ ไปดีท็อกซ์เป็นชั่วคราวหรอก
แต่แม่โชคดีหน่อย เพราะวันนั้นที่พาน้องไปแอดมิด
หมอเห็นสภาพจริงน้อง แล้วก็รีบให้เค้าแอดมิดที่ห้อง ICU เลย (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อ)
ซึ่งตามนโยบายทางรัฐ ผู้ป่วยที่ถูกส่งเข้า ICU ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาตัว
เพราะโครงการรัฐ ‘30 บาทรักษาทุกโรค จะควบคุมค่ารักษาเอง
ผู้ป่วยมีสิทธิ์ได้ไปบำบัดตัวสองครั้งต่อปี (บางคนก็หลุดกลับไปเล่นอีก ต้องไปรักษาใหม่)
-
หลังแอดมิทที่โรงบาล ยังรอหมอมาหา
หมอย้ำว่า เค้าต้องสมัครใจไปบำบัดตัว
ถ้าโดนบังคับไป น้องอาจจะดื้อกลับไปเล่นยาใหม่
หมอให้แม่คุยกับน้องก่อน แล้วก็ถามดูสิว่าจะยอมใจบำบัดตัวมั้ย
ตอนแรกน้องเอะใจ  
เค้าอยากเลิกจริง แต่ยังกลัวว่า ตำรวจจะตามไปจับเค้าที่ ร พ’ แม่บอกผม
แม่ต้องปลอบใจลูก 'มันไม่เหมือนกันนะลูก ตำรวจจะบุกเข้า ร พ ไม่ได้แม่บอกน้องไว้
เค้าให้น้องนึกถึงผลประโยชน์ที่จะตามมาถ้าเค้าหายป่วยแล้วก็เข้าสังคมได้แล้ว
แม่ปลุกฝันในใจน้องว่า ถ้าเค้ามีงานทำบ้าง เค้าจะมีเงินใช้ของตัวเอง
น้องไม่ต้องมาขอแม่อีก
น้องชอบใจ อยากเริ่มสร้างตัวเองบ้าง
เค้าเข้าใจว่า การรักษาตัวจะช่วยให้เค้าแข็งแรงขึ้นพอไปทำงานข้างนอก
แม่เกลี่ยกล่อมนุ่มนวลให้น้องเข้าใจ 
แต่เผื่อวีธิการหว่านล้อมน้องแบบอ้อมๆ หวานๆ ไม่พอ
แม่ก็ยังมีเพื่อนบ้านที่ค่อยช่วยเสริมทัพตรงนี้
เพื่อนชายคนนี้ ชอบคุยกับน้องแบบทื่อๆ ห้วนๆ หน่อย
เพื่อนคนนี้ ชื่อ เต้ พูดจากับน้องในเชิงเป็นผู้ชายนั่งคุยด้วยกัน
แต่ที่จริงแล้ว เต้ก็สุดจะอดทนเหมือนกันกับนิสัยน้อง  ที่เสียเวลามัวเล่นยาอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรช่วยแม่
แม่เล่าให้ฟังว่า ก่อนน้องตกลงว่าจะเข้าบำบัดตัว
เต้ก็เรียกน้องไปคุยด้วย
แล้วพูดแบบแสบๆ ไม่มีอะไรไว้หน้า
เช่น มึงทำเหี้ยอะไรเมื่อไหร่จะช่วยแม่ได้บ้าง เอาแต่เสพยาอย่างเดียวจนเป็นเด็กเบลอไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขอตังค์อย่างเดียว ไม่สงสารแม่บ้างเหรอไอ้สัตว์
เต้น่าจะรู้อาการติดยานี้ดี ร่วมถึงระบบการรักษาที่โรงบาลธัญญารักษ์ด้วย 
เพราะเค้าเคยบำบัดตัวเป็นผู้ป่วยนอกที่ ร พ แห่งนี้มาก่อน 
ในซอยสลัมนี้มีคนเล่นยาเยอะ คนรู้จัก ร พ แห่งนี้ก็เยอะเหมือนกัน
การเล่นยาเป็นกิจวัตรประจำวันของหลายคนก็ว่าได้
ผู้คนที่มีสมาชิกครอบครัวก็ถ่ายทอดนิสัยนี้ให้กันและกันตามรุ่นตามเวลา
จนเป็นประวัติศาสตร์ยื่นยาวหลายชั่วอายุคนในครอบครัวเดียวกัน แล้วก็แพร่กระจายออกไปอีกไกล
ก็เหมือนเชื้อโรคที่ลุกลามจากครอบครัวหรือกลุ่มหนึ่ง แผ่กว้างไปติดอีกหลายคนในชุมชนแออัดได้ง่าย
คนข้างนอกอาจเห็นว่ายาเสพติดเป็นปาบหรือพิษภัย จะทำร้ายชีวิตคนเลยเลี่ยงมันไปได้โดยเด็ดขาด

now, see here

ไปฟื้นฟูสมรรถภาพ (1)

ยาแก้ประสาทเสียที่น้องต้องกินหลังบำบัดตัวเสร็จ
พอน้องกลับบ้านแล้ว

ผมมารู้ทีหลังว่า (เอาบทสรูปไว้ก่อนเดี๋ยวจะค่อยอธิบาย)
แม่ช่วยเตรียมตัวเค้าให้กลับไปสู้โลกสังคมภายนอก
โดยพาลูกไปจัดการทำบัตรประชาชนก่อน
แม่เล่าให้ฟังพร้อมกับควักบัตรออกจากกระเป๋าให้ดู
วันนั้นที่พาไปทำบัตร ลูกยังมีอาการอยู่ นี่ขนาดเมายาแต่เค้ายังดูหล่ออยู่เลยเนอะ 
แม่ชมรูปลูกที่หน้าบัตร
น้องได้มีห้องส่วนตัวเรียบร้อยแล้วจริงๆ  แต่เค้าแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับห้อง
เพราะแม่เร่งให้เค้าออกไปทำธุระอีก
ทำบัตรเสร็จแล้ว แม่พาเค้าออกไปสมัครงานที่ซุปเปอมาร์เก็ตใกล้บ้าน 
น่าจะเป็นครั้งแรกที่น้องได้ออกไปพ้นจากซอยเพื่อเข้าสู่สังคมข้างนอกเป็นหลายเดือน (โลกเปลี่ยนบ้างมั้ย)
ศูนย์กลางชุมชน มีที่จัดสรรหางานไว้ให้เด็กวัยรุ่นผู้อาศัยอยู่ที่ชุมชนในซอยได้ให้ไปสมัครหางานทำกัน
แม่เล่าให้ฟังว่า วันนั้นน้องตอบคำถามให้กับฝ่ายนายจ้างไม่ได้เรื่อง 
เพราะสมองยังอยู่ในสุภาพเบลอๆ  
จากนั้น แม่พาน้องไปหาหมอเพื่อจะเช็คสภาพร่างกายตามคำขอร้องจากนายจ้าง
คืนนั้นผมเจอน้องพอดี เค้าบอกว่า แม่พาไปสมัครงานแล้ว
จากนั้นไม่กี่วันแม่ก็พาน้องไปหาหมออีกคนหนึ่ง
หมอเห็นว่า น้องมีอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอน พูดไม่รู้เรื่อง
เค้าแนะนำให้น้องไปบำบัดตัวที่ ร.พ.ธัญญารักษ์ ที่ปทุมธานี
สรุปแล้วสภาพจิตใจเค้าแย่กว่าที่เราคิด เค้ายังไม่พร้อมที่จะไปเข้าสู่ชีวิตข้างนอกซอยนั้นหรอก
แม่ตกลงว่าจะพาน้องไปรักษาตัวจะได้ฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นครั้งแรกในชีวิต
เมื่อหกเดือนที่แล้ว น้องต้องเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน 
แต่สถานที่นี้ ที่ชาวบานเรียกว่า คุกเด็ก ไม่ได้ช่วยเค้าเลิกเล่นยาสักนิด (แม่บอก)
เค้าถูกคุมขังที่คุกเด็กเป็น อาทิตย์ หลังโดนตำรวจตรวจเจอสารเสพติดในปสสาวะ
แม่บอกว่าน้องๆ ถูกคุมตัวไว้ในระบบอย่างเข้มงวดหน่อย ขนาดน้องต้องตัดผมเกรียนเหมือนนักโทษจริง
'เค้าย้ำให้ผู้โดนจับรักษาระเบียบวินัยมากกว่าให้เค้าบำบัดตัว ผลที่ออกมาคือน้องกลับไปเล่นยาอีก'
แม่เล่าต่อ
ต่อจากนั้นน้องดันไปโดนจับอีกที เมื่อเค้าไปรายงานตัวตามคำสั่งทางกฏหมาย
และฝ่ายตำรวจได้ตรวจเจอสารเคมีจากยาอีก
แต่ครั้งนี้ทางตำรวจไม่เอาธีร์แล้ว  
แม่เลยส่งน้องไปพักผ่อนที่บ้านญาติต่างจังวัด
แต่น้องดื้อไม่ยอมอยู่กับเค้า ก็แอบหนีกลับบ้านที่ กทม อีก
ที่นี้แม่ไม่เหลือความอดทนแล้ว 
เค้าจึงไล่น้องออกจากบ้านให้เค้าเรียนรู้ว่าเค้าเลือกทางผิด
-
พอเราเจอกันในซอยอีก หลังจากน้องหายหน้าหายตาออกไปทำธุระกับแม่เป็นหลายวันโดยแม่และน้องไม่ได้แจ้งว่าไปทำอะไรกัน
น้องก็ยังเงียบๆ ในสภาพเดิมๆ ไม่ค่อยได้พูดอะไรกับใคร
ผมต้องถามหลายครั้งถึงได้รู้ว่าเค้าพึ่งไปสมัครงานแล้วก็ไปหาหมอด้วย
ผมเห็นว่าจิตใจเค้ายังไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
พอเริ่มนั่งคุยกันไม่นาน เค้าทักผมว่า 
ไมเคิลมีแมลงสาบกำลังปีนเข้าหูนะ
ซึ่งไม่จริงอยู่แล้ว คือผมคงพอจะรู้สึกตัว อิอิ
ธีร์ ผมไม่มีแมลงเดินเข้าหรอก เป็นภาพหลอน แกคิดไปเอง’ ผมตอบเค้า
พอเค้าเล่าให้ฟังต่อว่าวันนั้น แม่พาไปหาหมอมา ผมเข้าใจผิดนิดหนึ่ง
ว่าแม่พาน้องไปหาหมอจิตแพทย์เลย เพื่อจะแก้ปัญหาทางจิตผิดปกติของน้อง
คุยเสร็จแล้วน้องเดินออกไป ผมก็ถือโอกาศนี้แอบไปหาแม่ที่บ้าน เป็นการคุยกันครั้งแรกตั้งแต่แกไล่ผมออกจากหน้าบ้านเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
ครั้งนี้เราคุยกันปกติดี
ผมทักแม่แล้วก็ถามถึงอาการน้อง
ผมเห็นเค้ายังผิดปกตินะแม่ เมื่อกี้เค้าเห็นภาพหลอน’ 
ผมเสนอว่า:
ถ้าแม่อยากพาไปหาหมอจิตแพทย์จริง  ผมจะแนะให้ไปหาหมอที่ ร.พ. เลิดสินได้นะคับ ผมเคยไปหาหมอที่นั้นเมื่อเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อหลายปีก่อน เค้าจะรักษาอาการโรคนี้ให้ดีได้’ 

now, see here

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม