ผมมารู้ทีหลังว่า
(เอาบทสรูปไว้ก่อนเดี๋ยวจะค่อยอธิบาย)
แม่ช่วยเตรียมตัวเค้าให้กลับไปสู้โลกสังคมภายนอก
โดยพาลูกไปจัดการทำบัตรประชาชนก่อน
แม่เล่าให้ฟังพร้อมกับควักบัตรออกจากกระเป๋าให้ดู
‘วันนั้นที่พาไปทำบัตร
ลูกยังมีอาการอยู่ นี่ขนาดเมายาแต่เค้ายังดูหล่ออยู่เลยเนอะ ’
แม่ชมรูปลูกที่หน้าบัตร
น้องได้มีห้องส่วนตัวเรียบร้อยแล้วจริงๆ แต่เค้าแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับห้อง
เพราะแม่เร่งให้เค้าออกไปทำธุระอีก
ทำบัตรเสร็จแล้ว
แม่พาเค้าออกไปสมัครงานที่ซุปเปอมาร์เก็ตใกล้บ้าน
น่าจะเป็นครั้งแรกที่น้องได้ออกไปพ้นจากซอยเพื่อเข้าสู่สังคมข้างนอกเป็นหลายเดือน
(โลกเปลี่ยนบ้างมั้ย)
ศูนย์กลางชุมชน
มีที่จัดสรรหางานไว้ให้เด็กวัยรุ่นผู้อาศัยอยู่ที่ชุมชนในซอยได้ให้ไปสมัครหางานทำกัน
แม่เล่าให้ฟังว่า
วันนั้นน้องตอบคำถามให้กับฝ่ายนายจ้างไม่ได้เรื่อง
เพราะสมองยังอยู่ในสุภาพเบลอๆ
จากนั้น
แม่พาน้องไปหาหมอเพื่อจะเช็คสภาพร่างกายตามคำขอร้องจากนายจ้าง
คืนนั้นผมเจอน้องพอดี
เค้าบอกว่า แม่พาไปสมัครงานแล้ว
จากนั้นไม่กี่วันแม่ก็พาน้องไปหาหมออีกคนหนึ่ง
หมอเห็นว่า
น้องมีอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอน พูดไม่รู้เรื่อง
เค้าแนะนำให้น้องไปบำบัดตัวที่
ร.พ.ธัญญารักษ์ ที่ปทุมธานี
สรุปแล้วสภาพจิตใจเค้าแย่กว่าที่เราคิด
เค้ายังไม่พร้อมที่จะไปเข้าสู่ชีวิตข้างนอกซอยนั้นหรอก
แม่ตกลงว่าจะพาน้องไปรักษาตัวจะได้ฟื้นฟูสมรรถภาพ
เป็นครั้งแรกในชีวิต
เมื่อหกเดือนที่แล้ว น้องต้องเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
แต่สถานที่นี้
ที่ชาวบานเรียกว่า คุกเด็ก ไม่ได้ช่วยเค้าเลิกเล่นยาสักนิด (แม่บอก)
เค้าถูกคุมขังที่คุกเด็กเป็น 6 อาทิตย์ หลังโดนตำรวจตรวจเจอสารเสพติดในปสสาวะ
แม่บอกว่าน้องๆ ถูกคุมตัวไว้ในระบบอย่างเข้มงวดหน่อย ขนาดน้องต้องตัดผมเกรียนเหมือนนักโทษจริง
'เค้าย้ำให้ผู้โดนจับรักษาระเบียบวินัยมากกว่าให้เค้าบำบัดตัว
ผลที่ออกมาคือน้องกลับไปเล่นยาอีก'
แม่เล่าต่อ
ต่อจากนั้นน้องดันไปโดนจับอีกที
เมื่อเค้าไปรายงานตัวตามคำสั่งทางกฏหมาย
และฝ่ายตำรวจได้ตรวจเจอสารเคมีจากยาอีก
แต่ครั้งนี้ทางตำรวจไม่เอาธีร์แล้ว
แม่เลยส่งน้องไปพักผ่อนที่บ้านญาติต่างจังวัด
แต่น้องดื้อไม่ยอมอยู่กับเค้า
ก็แอบหนีกลับบ้านที่ กทม อีก
ที่นี้แม่ไม่เหลือความอดทนแล้ว
เค้าจึงไล่น้องออกจากบ้านให้เค้าเรียนรู้ว่าเค้าเลือกทางผิด
-
พอเราเจอกันในซอยอีก
หลังจากน้องหายหน้าหายตาออกไปทำธุระกับแม่เป็นหลายวันโดยแม่และน้องไม่ได้แจ้งว่าไปทำอะไรกัน
น้องก็ยังเงียบๆ
ในสภาพเดิมๆ ไม่ค่อยได้พูดอะไรกับใคร
ผมต้องถามหลายครั้งถึงได้รู้ว่าเค้าพึ่งไปสมัครงานแล้วก็ไปหาหมอด้วย
ผมเห็นว่าจิตใจเค้ายังไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
พอเริ่มนั่งคุยกันไม่นาน
เค้าทักผมว่า
‘ไมเคิลมีแมลงสาบกำลังปีนเข้าหูนะ’
ซึ่งไม่จริงอยู่แล้ว
คือผมคงพอจะรู้สึกตัว อิอิ
‘ธีร์
ผมไม่มีแมลงเดินเข้าหรอก เป็นภาพหลอน แกคิดไปเอง’ ผมตอบเค้า
พอเค้าเล่าให้ฟังต่อว่าวันนั้น
แม่พาไปหาหมอมา ผมเข้าใจผิดนิดหนึ่ง
ว่าแม่พาน้องไปหาหมอจิตแพทย์เลย เพื่อจะแก้ปัญหาทางจิตผิดปกติของน้อง
คุยเสร็จแล้วน้องเดินออกไป ผมก็ถือโอกาศนี้แอบไปหาแม่ที่บ้าน
เป็นการคุยกันครั้งแรกตั้งแต่แกไล่ผมออกจากหน้าบ้านเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
ครั้งนี้เราคุยกันปกติดี
ผมทักแม่แล้วก็ถามถึงอาการน้อง
‘ผมเห็นเค้ายังผิดปกตินะแม่
เมื่อกี้เค้าเห็นภาพหลอน’
ผมเสนอว่า:
‘ถ้าแม่อยากพาไปหาหมอจิตแพทย์จริง ผมจะแนะให้ไปหาหมอที่ ร.พ. เลิดสินได้นะคับ
ผมเคยไปหาหมอที่นั้นเมื่อเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อหลายปีก่อน
เค้าจะรักษาอาการโรคนี้ให้ดีได้’
now, see here
now, see here
No comments:
Post a Comment
เขียนเป็นไทยหรืออ้งกฤษก็ได้คับ Thai or English is fine...