Monday, 18 November 2019

คำนำ (Spoiler alert!)

ฉันเป็นโซเชียลมีเดียสตาร์นะโว่ย!

ก่อนที่แม่จะไล่เค้าออกจากบ้าน ก็มีเหตุเกิดขึ้นเมื่อน้องต้องโดนตำรวจจับ เมื่อเดือนกุมภาที่แล้ว แม่เล่าให้ฟังว่า น้องถูกจำคุกอยู่ที่ ‘สถานพินิจกักกันเยาวชน’ เป็นเวลา 42 วัน
ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีระบบเข้มงวดคล้ายๆกับค่ายทหาร
ตอนนั้นผมไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด แต่ยังจำได้อยู่ ผมเคยเดินเข้าซอยแล้วก็เห็นน้องหัวเกรียนเหมือนนักโทษทั่วไป
เค้าดูไม่สบายใจเท่าไร ผมเลยไม่กล้าถามว่าเค้าโดนอะไรมา
แต่ก็น่าจะเป็นช่วงนั้นที่เค้าเพิ่งออกจากสถานพินิจนั้นเอง
เมื่อนึกภาพนี้ออกแล้ว ผมถามแม่เล่นๆ ว่า ‘ลูกร้องไห้บ่อยไหมเพราะผมไม่เคยเห็น’
แม่บอกว่าธีร์เป็นคนใจแข็ง ถ้าร้องก็ไม่อยากให้ใครๆเห็น
‘ครั้งล่าสุดที่เห็นน้องร้องไห้เป็นเมื่อไรนะแม่’ ผมถามต่อ
‘อ้อ น่าจะเป็นช่วงนั้นที่เค้าไปติตคุกไง แม่ไปหาเค้าวันเสาร์อาทิตย์ นั่งตรงข้ามกันแต่เค้ามีกระจกกั้นไว้ไม่ให้ญาติกับผู้ต้องขังจับกัน
‘วันนั้นแม่เลยเห็นลูกน้ำตาคลอเบ้า ไม่ถึงกับร้องแต่ใกล้แล้ว’ แม่หัวเราะ
-
แม่เป็นนางเอกในเรื่องราวของน้อง
แม้ว่าเราเจอกันไม่บ่อยสักเท่าไรในช่วงนี้ที่เค้ามีปัญหากับลูก
แต่ผมจะอ้างอิงคำพูดของแม่เค้าต่อเนื่องหลายตอนหลายจุดในเรื่องนี้ เพื่อผู้อ่านจะได้รู้จักน้องให้ดีขึ้น
พูดง่ายๆ ผมและแม่มักจะคุยกันดียามเค้ายังแฮปปี้กับลูก
เวลาลูกสร้างปัญหาน่าปวดหัว แม่จะใส่อารมณ์กับคนไหนที่เอ่ยถึงเค้า
ดังนั้น ผมและแม่มักจะมีปัญหากันตามมาด้วย
ความสัมพันธ์เราจะคดเคี้ยววกไปวนมาแบบนี้แหละ
เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ตามอารมณ์ของเราและของเค้า
ก่อนที่น้องออกจากบ้าน ผมไม่ได้คุยกับแม่เป็นปีแล้ว
หลังจากผมได้เจอน้องที่บ้านวุฒิ เพื่อนของเรา แล้วได้รู้เรื่องปัญหาระหว่างแม่กับลูกนั้น
ผมไปหาแม่เพื่อจะบอกแกว่าเราเป็นห่วงสภาพน้อง
แต่แม่ฟิวส์ขาดไม่ยอมคุย 
จากนั้นเราจะไม่ได้คุยอีกนานจนกระทั่งแม่ได้พาลูกไปบำบัดตัวตอนเดือนพฤศจิ
จากนั้นเราคุยกันอีกไม่กี่อาทิตย์ก่อนแม่จะใส่อารมณ์กับเราอีกและเราก็เริ่มห่างกันจนได้
เมื่อน้องออกจาก ร.พ. ตอนสิ้นปี และไปทำงานข้างนอกแล้ว
แม่ก็รูสึกสบายใจขึ้น แล้วเราจะเริ่มคบกันใหม่
แต่อีกไม่กี่เดือนต่อมา น้องจะกลับไปเล่นยาอีกที
เลยพาผมและแม่มีปัญหากันอีกด้วย
จนกระทั้งแม่ต้องพาลูกไปบำบัดตัวแบบยาวนานในช่วงต้นเดือนมิถุนา
หลังจากการเข้าไปบำบัดตัวรอบที่สองนี้
ผมและแม่เกือบมีเรื่องแต่อีกไม่นาน เราคืนดีกันใหม่
ตอนนี้ถึงจะคุยไม่บ่อยนัก แต่เราก็ยังสบตากันได้อยู่
งงไหมคับผู้อ่าน

now, see here

เส้นทางชีวิตเด็กสลัม

น้องธีร์และแม่ตอนที่ลูกเข้าบำบัดตัว

คำย่อ

เรื่องราวเส้นทางชีวิตของน้องธีร์ วัยรุ่นในสลัมใกล้บ้านผม ที่ต้องเจอกับความลำบาก หลังจากแม่ไล่น้องออกจากบ้านเมื่อกลางปีที่แล้ว ไปสู้กับชีวิตคนเดียว
เป็นการลงโทษที่น้องยังไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและไม่ยอมเลิกทั้งๆที่เคยโดนตำรวจจับไปแล้ว
น้องไม่มีเงิน ไม่มีที่นอน ไม่มีงานทำด้วย
แต่เค้าโชคดีหน่อยที่พวกเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ ร่วมถึงผมด้วย คอยยื่นมือช่วยเค้าเอาตัวรอดได้
เราต้องรอลุ้นให้แม่และลูกจะคืนดีกันสักวัน
แต่น่าเสียดาย ที่ทั้งคู่บึ่งตึงต่อกันไม่ยอมใจกันเป็นหลายเดือน
ในขณะที่สภาพน้องแย่ลงไปเรื่อยๆ
พอผ่านไปเดือนที่สอง ที่สามแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า คนที่เคยเต็มใจช่วยน้องเริ่มเบื่อแล้ว เรื่องปัญหาของครอบครัวของเค้า ยืดยาดเหลือเกิน
กระทั่งจิตใจและร่างกายน้องเริ่มเสื่อมจนน่าเป็นห่วง ถึงจะอยากเลิกเล่นยาหรือแก้นิสัยเพื่อทำให้แม่สบายใจ แต่น้องคงทำไม่ได้แล้ว
พอเข้าเดือนที่ 5 เค้ากลับไปขอร้องให้แม่รับเค้ากลับบ้านสักที
ครั้งนี้แม่ไม่มีทางเลือก
เมื่อเห็นสภาพลูกชายก็ต้องยอมเค้าอยู่ดี
แต่อาการน้องแย่กว่าที่เค้าคิด เค้าอ่อนแรงเกินกว่าที่จะรับทำงานข้างนอกไหว
เลยทำให้แม่เค้ากลับไปผิดหวังอีก เมื่อเค้าต้องพาลูกชายไปบำบัดก่อน
แม่ตั้งเป้าหมายไว้ว่า พอกลับบ้านแล้วลูกจะหางานทำช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
จะได้เข้าสู่ตลาดแรงงานสักที หลังจากเปลืองเวลาหลายปีเล่นยาอย่างเดียว
ที่ไหนได้ ลูกป่วยเกิน
แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นี้
เพราะหลังจากการบำบัดตัวเสร็จ (ใช้เวลาแค่สองเดือนเอง) และลูกได้กลับบ้านแล้ว
เค้าดันลุดกลับไปเล่นอีก ในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา
เค้าคงไปบำบัดตัวในเวลาที่สั้นเกินไปมั้ง
แบคกราวน์คือ เมื่อน้องกลับบ้านแล้ว แม่บังคับใจให้ไปสู้ทำงานจริงๆ เค้ารับงานหลายรอบ แต่กลับล้มเหลวทุกที
จนน้องแพ้ใจแอบกลับไปเล่นยาอีก
ส่วนแม่เค้ากลับทำตัวไม่สนใจลูก
ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม 
สภาพจิตน้องแย่ลงเพราะครั้งนี้ไม่ค่อยมีใครช่วย
ครั้งนี้น้องจะเอาตัวรอดไปได้หรือเปล่า และเรื่องนี้จะจบยังไง รอดูต่อไป

-
คำอธิบาย

ผมเริ่มเขียนเรื่องราวนี้เป็นบล็อกหรือไดอารี่คือวันไหนที่มีเหตุจะบันทึกไว้วันนั้น โดยลงโพสต์แรกในช่วงปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากเริ่มได้รู้จักและช่วยน้อง แต่อ่านไปอ่านมา อยากเขียนเป็นนิยายดีกว่า เพราะฟอร์แมตนี้คล่องตัวมากกว่าสำหรับผู้เขียน คือว่าถ้าเป็นไดอารี่เรื่องอาจจะไม่มีจุดจบแบบเห็นแน่ชัด แล้วในฐานะเป็นผู้เล่า เราคงอยากเติมความเข้าใจหรือเสริมน้ำหนักในเรื่องบางครั้ง บางตอน

ถ้าเป็นไดอารี่คงก็ทำยาก  เพราะไดอารี่เขียนได้วันแต่ละวันไปเท่านั้น เราไม่มีทางได้รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่ถ้าเป็นนิยายที่หันกลับไปเขียนหลังเรื่องนี้เสร็จสิ้นจริง เราจะรู้ทุกสิ่งที่จะเกิดร่วมถึงจุดจบ เราจะได้อ้างอิงเหตุหรือคำพูดผู้คนที่จะเกิดขึ้นหลังจากเริ่มเขียนง่ายๆ ไม่มีปัญหา

ผมเลยรวบรวมโพสต์ที่เอาขึ้นไปแล้ว ค่อยจัดเขียนใหม่ให้เป็นนิยายเลย โดยเริ่มต้นวันที่พาน้องไปตัดผมที่เราเขียนไว้วันเกิดเหตุจริง ต่อด้วยช่วงหนึ่งที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ซึ่งเป็นประเด็นหลักๆที่ผู้อ่านจะเจอกันตลอดทั้งเรื่อง ที่เราเขียนไว้ทีหลัง ตามรูปแบบนิยายนั้นเอง

เจอคำนำที่นี่ 
และตอนแรก  haircut adventures ที่นี่นะคับ

บทที่ 2 setting the scene
บทที่ 3 life as a druggie
บทที่ 4 ชีวิตผู้เสพยาต่อ
บทที่ 5 ไปฟื้นฟูสมรรถภาพ
บทที่ 6 hospital visit
บทที่ 7 out of hospital
บทที่ 8 job at the 7-11, back to rehab

Saturday, 18 May 2019

Save my plastic bags!

เอาโหลแก้วไปเก็บเมล็ดกาแฟแทนถุงพลาสติกก็ได้ เค้าว่ายังนี้

ที่ทางซุปเปอร์มาร์เก็ตให้เรางดใช้ถุงพลาสติกก็แย่อยู่แล้
เค้าบอกว่าถุงพลาสติก แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทำร้ายกับสิ่งแวดล้อม
เลยบังคับให้ลูกค้าเลิกใช้ถุงพลาสติกของทางห้าง แล้วให้ลูกค้า
เอากระเป๋าผ้า หรือ กระเป๋าโท๊ท มาใช้แทน
ซึ่งลูกค้าต้องมีติดกระเป๋านี้ไปด้วยทุกครั้งที่ไปซื้อของเค้า

ลูกค้าถึงได้รู้ว่าการไปช็อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ ตปท ทุกวันนี้
ไม่มีความสะดวกแค่ไหน อยู่ดีๆ แคชเชียร์ไม่มีถุงพลาสติกให้ใส่ของแล้ว
คุณต้องเอากระเป๋าจากบ้านไปใส่ของเอง ถ้าไม่ได้เอากระเป๋าผ้าไปเอง
และต้องการใช้ถุงพลาสติกนั้น
คุณต้องจ่ายเงินค่าถุงพลาสติกนั้นเพื่อใส่ของกลับบ้าน

ล่าสุดทางซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ประเทศบ้านเกิดผมดันไปก้าวก่ายสิทธิ์ผู้บริโภคอีก
เมื่อเค้าขยายแคมเปญโดยมีแผนว่าให้ลูกค้าเลิกใช้กล่องพลาสติกและกล่องโฟมของเค้า
ที่มีไว้ใส่พวก เบเกอรี่ ของเดลลี่ (อาหารสำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศ)
อาหารทะเล และอาหารเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้วเอากล่องใส่อาหารจากบ้านมาใช้แทน แบบ
re-use ที่ลูกค้าต้องล้างและรักษาความสะอาดเอง

ทางเค้ายอมรับว่าไม่เคยเสนอไอเดีย byo container
นี้มาก่อนเพราะกลัวลูกค้าจะเอาของบรรจุอาหารสกปรกจากบ้านไปยุ่งกับอาหารบริสุทธ์ของเค้
ตอนแรกสตาฟจะตักของใส่ให้ลูกค้า
แล้วเค้าคงจะต้องใส่ถุงมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ
เพื่อป้องกันตัวเองและรักษาความสะอาดกับอาหารนั้นๆ
แต่สตาฟจะตรวจดูลูกค้าได้ทุกคน และคุมมาตรฐานนี้ไหวจริงไหม
หรือว่า ต่อไปนี้เราต้องเข้าแถวกับลูกค้าที่จับกล่องเปรอะเปื้อนเก่าๆของเค้า
และรุมไปจุ่มของแบบมั่วๆ
ไหนจะโดนกล่องเมล็ดกาแฟนี้ ทำร้ายกับเบเกอรี่สดๆนั่น
แล้วก้อเจอสิ่งปนเปื้อนติดคาเนยแข็งแพงๆนั้นด้วย

เป็นการเล่นเสี่ยงติดเชื้อไปกันใหญ่ เพื่อจะเอาใจไอ้อีโคฟาสซิสต์ หรือ
eco-fascists นั้นแหละ ที่อยากได้เผยแผ่คตินิยมของเค้าไปทั่ว
เค้าชอบยกสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เป็นแชมป์เลยที่ครอบงำทุกเรื่องอื่น แม้แค่ความสะดวกผู้บริโภคนั้นเอง
ถ้าไป ตปท ทุกวันนี้จะรู้เองว่าการขาดถุงพลาสติกที่เราใช้บ่อยๆในเมืองไทย
จะส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากจน ปชช แทบจะบ้าเอา
วันเดินทางกลับล่าสุด ผมกำลังเก็บกระเป๋าอยู่

คลังถุงพลาสติกเก็บไว้ที่บ้าน
อยากเอาของใส่ถุงพลาสติกเพื่
อความสะดวกบ้าง
แต่กลับหาถุงเก็บของยากจนแทบไม่ได้เจอเลย เพราะพ่อแม้ไม่มีจะให้
'เราไม่ได้ใช้พวกนี้แล้วเลยไม่ได้เก็บไว้' เค้าบอกผม
ผมต้องค้นหาเกือบทั้งบ้านถึงจะได้เจอ
ถุงนี้คงจะถูกลืมไป เจอในตู้เสื้อผ้าในซอกลึกๆ
เหมือนของกลางอาชญากรรมที่มือคนร้ายซุกซ่อนไว้
แต่กลับมาที่ กทม นี้เราโชคดี ผู้บริโภคยังมีทางเลือกเอา
จะใช้ถุงพลาสติกหรือไม่ใช้ แล้วแต่จะชอบ
ที่บ้านเรา ผมกักตุนและสะสมถุงพลาสติกไว้เยอะมากเหมือนคนบ้า
เก็บไว้ในถังพลาสติกเป็นกล่องใหญ่ เพราะไม่แน่ สักวันแนวคิด anti-bags
ของ first world eco-fascists ที่ ตปทนั้น
อาจจะแผ่กระจายมาถึงฝั่งชายแดนไทยด้วยก็ได้
อย่าไปหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือนของเค้าสิ
ในการดำรงชีวิตถุงพลาสติกก็สำคัญเท่ากับหนี่งในปัจจัยที่ 5 เลย
ถ้าถูกห้าม ขีวิตจะพังข้ามคืนเชื่อผมเถอะ

โพส์ตเด่น

Blast from the past (part 1)

Jack's Point golf club, with the Remarkables range "คุณเคยมาที่นี่เมื่อก่อนนี้," ผู้จัดการร้านอาหารกล่าวอย่ างเป็นนัย ร้านอาหา...

โพส์ตนิยม