Monday, 18 November 2019

เส้นทางชีวิตเด็กสลัม

น้องธีร์และแม่ตอนที่ลูกเข้าบำบัดตัว

คำย่อ

เรื่องราวเส้นทางชีวิตของน้องธีร์ วัยรุ่นในสลัมใกล้บ้านผม ที่ต้องเจอกับความลำบาก หลังจากแม่ไล่น้องออกจากบ้านเมื่อกลางปีที่แล้ว ไปสู้กับชีวิตคนเดียว
เป็นการลงโทษที่น้องยังไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและไม่ยอมเลิกทั้งๆที่เคยโดนตำรวจจับไปแล้ว
น้องไม่มีเงิน ไม่มีที่นอน ไม่มีงานทำด้วย
แต่เค้าโชคดีหน่อยที่พวกเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ ร่วมถึงผมด้วย คอยยื่นมือช่วยเค้าเอาตัวรอดได้
เราต้องรอลุ้นให้แม่และลูกจะคืนดีกันสักวัน
แต่น่าเสียดาย ที่ทั้งคู่บึ่งตึงต่อกันไม่ยอมใจกันเป็นหลายเดือน
ในขณะที่สภาพน้องแย่ลงไปเรื่อยๆ
พอผ่านไปเดือนที่สอง ที่สามแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า คนที่เคยเต็มใจช่วยน้องเริ่มเบื่อแล้ว เรื่องปัญหาของครอบครัวของเค้า ยืดยาดเหลือเกิน
กระทั่งจิตใจและร่างกายน้องเริ่มเสื่อมจนน่าเป็นห่วง ถึงจะอยากเลิกเล่นยาหรือแก้นิสัยเพื่อทำให้แม่สบายใจ แต่น้องคงทำไม่ได้แล้ว
พอเข้าเดือนที่ 5 เค้ากลับไปขอร้องให้แม่รับเค้ากลับบ้านสักที
ครั้งนี้แม่ไม่มีทางเลือก
เมื่อเห็นสภาพลูกชายก็ต้องยอมเค้าอยู่ดี
แต่อาการน้องแย่กว่าที่เค้าคิด เค้าอ่อนแรงเกินกว่าที่จะรับทำงานข้างนอกไหว
เลยทำให้แม่เค้ากลับไปผิดหวังอีก เมื่อเค้าต้องพาลูกชายไปบำบัดก่อน
แม่ตั้งเป้าหมายไว้ว่า พอกลับบ้านแล้วลูกจะหางานทำช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
จะได้เข้าสู่ตลาดแรงงานสักที หลังจากเปลืองเวลาหลายปีเล่นยาอย่างเดียว
ที่ไหนได้ ลูกป่วยเกิน
แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นี้
เพราะหลังจากการบำบัดตัวเสร็จ (ใช้เวลาแค่สองเดือนเอง) และลูกได้กลับบ้านแล้ว
เค้าดันลุดกลับไปเล่นอีก ในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา
เค้าคงไปบำบัดตัวในเวลาที่สั้นเกินไปมั้ง
แบคกราวน์คือ เมื่อน้องกลับบ้านแล้ว แม่บังคับใจให้ไปสู้ทำงานจริงๆ เค้ารับงานหลายรอบ แต่กลับล้มเหลวทุกที
จนน้องแพ้ใจแอบกลับไปเล่นยาอีก
ส่วนแม่เค้ากลับทำตัวไม่สนใจลูก
ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม 
สภาพจิตน้องแย่ลงเพราะครั้งนี้ไม่ค่อยมีใครช่วย
ครั้งนี้น้องจะเอาตัวรอดไปได้หรือเปล่า และเรื่องนี้จะจบยังไง รอดูต่อไป

-
คำอธิบาย

ผมเริ่มเขียนเรื่องราวนี้เป็นบล็อกหรือไดอารี่คือวันไหนที่มีเหตุจะบันทึกไว้วันนั้น โดยลงโพสต์แรกในช่วงปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากเริ่มได้รู้จักและช่วยน้อง แต่อ่านไปอ่านมา อยากเขียนเป็นนิยายดีกว่า เพราะฟอร์แมตนี้คล่องตัวมากกว่าสำหรับผู้เขียน คือว่าถ้าเป็นไดอารี่เรื่องอาจจะไม่มีจุดจบแบบเห็นแน่ชัด แล้วในฐานะเป็นผู้เล่า เราคงอยากเติมความเข้าใจหรือเสริมน้ำหนักในเรื่องบางครั้ง บางตอน

ถ้าเป็นไดอารี่คงก็ทำยาก  เพราะไดอารี่เขียนได้วันแต่ละวันไปเท่านั้น เราไม่มีทางได้รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่ถ้าเป็นนิยายที่หันกลับไปเขียนหลังเรื่องนี้เสร็จสิ้นจริง เราจะรู้ทุกสิ่งที่จะเกิดร่วมถึงจุดจบ เราจะได้อ้างอิงเหตุหรือคำพูดผู้คนที่จะเกิดขึ้นหลังจากเริ่มเขียนง่ายๆ ไม่มีปัญหา

ผมเลยรวบรวมโพสต์ที่เอาขึ้นไปแล้ว ค่อยจัดเขียนใหม่ให้เป็นนิยายเลย โดยเริ่มต้นวันที่พาน้องไปตัดผมที่เราเขียนไว้วันเกิดเหตุจริง ต่อด้วยช่วงหนึ่งที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ซึ่งเป็นประเด็นหลักๆที่ผู้อ่านจะเจอกันตลอดทั้งเรื่อง ที่เราเขียนไว้ทีหลัง ตามรูปแบบนิยายนั้นเอง

เจอคำนำที่นี่ 
และตอนแรก  haircut adventures ที่นี่นะคับ

บทที่ 2 setting the scene
บทที่ 3 life as a druggie
บทที่ 4 ชีวิตผู้เสพยาต่อ
บทที่ 5 ไปฟื้นฟูสมรรถภาพ
บทที่ 6 hospital visit
บทที่ 7 out of hospital
บทที่ 8 job at the 7-11, back to rehab

Saturday, 18 May 2019

Save my plastic bags!

เอาโหลแก้วไปเก็บเมล็ดกาแฟแทนถุงพลาสติกก็ได้ เค้าว่ายังนี้

ที่ทางซุปเปอร์มาร์เก็ตให้เรางดใช้ถุงพลาสติกก็แย่อยู่แล้
เค้าบอกว่าถุงพลาสติก แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทำร้ายกับสิ่งแวดล้อม
เลยบังคับให้ลูกค้าเลิกใช้ถุงพลาสติกของทางห้าง แล้วให้ลูกค้า
เอากระเป๋าผ้า หรือ กระเป๋าโท๊ท มาใช้แทน
ซึ่งลูกค้าต้องมีติดกระเป๋านี้ไปด้วยทุกครั้งที่ไปซื้อของเค้า

ลูกค้าถึงได้รู้ว่าการไปช็อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ ตปท ทุกวันนี้
ไม่มีความสะดวกแค่ไหน อยู่ดีๆ แคชเชียร์ไม่มีถุงพลาสติกให้ใส่ของแล้ว
คุณต้องเอากระเป๋าจากบ้านไปใส่ของเอง ถ้าไม่ได้เอากระเป๋าผ้าไปเอง
และต้องการใช้ถุงพลาสติกนั้น
คุณต้องจ่ายเงินค่าถุงพลาสติกนั้นเพื่อใส่ของกลับบ้าน

ล่าสุดทางซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ประเทศบ้านเกิดผมดันไปก้าวก่ายสิทธิ์ผู้บริโภคอีก
เมื่อเค้าขยายแคมเปญโดยมีแผนว่าให้ลูกค้าเลิกใช้กล่องพลาสติกและกล่องโฟมของเค้า
ที่มีไว้ใส่พวก เบเกอรี่ ของเดลลี่ (อาหารสำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศ)
อาหารทะเล และอาหารเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้วเอากล่องใส่อาหารจากบ้านมาใช้แทน แบบ
re-use ที่ลูกค้าต้องล้างและรักษาความสะอาดเอง

ทางเค้ายอมรับว่าไม่เคยเสนอไอเดีย byo container
นี้มาก่อนเพราะกลัวลูกค้าจะเอาของบรรจุอาหารสกปรกจากบ้านไปยุ่งกับอาหารบริสุทธ์ของเค้
ตอนแรกสตาฟจะตักของใส่ให้ลูกค้า
แล้วเค้าคงจะต้องใส่ถุงมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ
เพื่อป้องกันตัวเองและรักษาความสะอาดกับอาหารนั้นๆ
แต่สตาฟจะตรวจดูลูกค้าได้ทุกคน และคุมมาตรฐานนี้ไหวจริงไหม
หรือว่า ต่อไปนี้เราต้องเข้าแถวกับลูกค้าที่จับกล่องเปรอะเปื้อนเก่าๆของเค้า
และรุมไปจุ่มของแบบมั่วๆ
ไหนจะโดนกล่องเมล็ดกาแฟนี้ ทำร้ายกับเบเกอรี่สดๆนั่น
แล้วก้อเจอสิ่งปนเปื้อนติดคาเนยแข็งแพงๆนั้นด้วย

เป็นการเล่นเสี่ยงติดเชื้อไปกันใหญ่ เพื่อจะเอาใจไอ้อีโคฟาสซิสต์ หรือ
eco-fascists นั้นแหละ ที่อยากได้เผยแผ่คตินิยมของเค้าไปทั่ว
เค้าชอบยกสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เป็นแชมป์เลยที่ครอบงำทุกเรื่องอื่น แม้แค่ความสะดวกผู้บริโภคนั้นเอง
ถ้าไป ตปท ทุกวันนี้จะรู้เองว่าการขาดถุงพลาสติกที่เราใช้บ่อยๆในเมืองไทย
จะส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากจน ปชช แทบจะบ้าเอา
วันเดินทางกลับล่าสุด ผมกำลังเก็บกระเป๋าอยู่

คลังถุงพลาสติกเก็บไว้ที่บ้าน
อยากเอาของใส่ถุงพลาสติกเพื่
อความสะดวกบ้าง
แต่กลับหาถุงเก็บของยากจนแทบไม่ได้เจอเลย เพราะพ่อแม้ไม่มีจะให้
'เราไม่ได้ใช้พวกนี้แล้วเลยไม่ได้เก็บไว้' เค้าบอกผม
ผมต้องค้นหาเกือบทั้งบ้านถึงจะได้เจอ
ถุงนี้คงจะถูกลืมไป เจอในตู้เสื้อผ้าในซอกลึกๆ
เหมือนของกลางอาชญากรรมที่มือคนร้ายซุกซ่อนไว้
แต่กลับมาที่ กทม นี้เราโชคดี ผู้บริโภคยังมีทางเลือกเอา
จะใช้ถุงพลาสติกหรือไม่ใช้ แล้วแต่จะชอบ
ที่บ้านเรา ผมกักตุนและสะสมถุงพลาสติกไว้เยอะมากเหมือนคนบ้า
เก็บไว้ในถังพลาสติกเป็นกล่องใหญ่ เพราะไม่แน่ สักวันแนวคิด anti-bags
ของ first world eco-fascists ที่ ตปทนั้น
อาจจะแผ่กระจายมาถึงฝั่งชายแดนไทยด้วยก็ได้
อย่าไปหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือนของเค้าสิ
ในการดำรงชีวิตถุงพลาสติกก็สำคัญเท่ากับหนี่งในปัจจัยที่ 5 เลย
ถ้าถูกห้าม ขีวิตจะพังข้ามคืนเชื่อผมเถอะ

Friday, 22 March 2019

อีนกส่องคน

อีนกเอ๋ย มาเยี่ยมเราทำไม
เมื่อวันก่อน
ผมนั่งที่ระเบียงเล็กๆด้านหลังห้องพักของเรา ที่ ตจ 
แล้วก็มองออกไปที่ริมตลิ่งฝั่งลำธารด้านหลังห้องพัก
เราเห็นนกตัวเล็กๆบินลงไปเกาะที่กิ่งไม้บนต้นลีลาวดี
ที่มีกิ่งยื่นออกไปอยู่บนเหนือผิวน้ำ
เป็นตัวเล็กเรียวน่ารักขนหลังสีดำแต่ขนหน้าอกสีทอง
หน้าตาน่ารักดี แต่นิสัยไม่ใช่
นกประเภทนี้ขี้คุย ชอบนินทาเรื่องชาวบ้าน
เจ้านกเป็นรุ่นแม่วัยกลางๆ มีลูกนกโตหมดแล้วหลายรอบ แต่เจ้าตัวยังสาระแนไม่เลิก
บินมาหาจาก กทม ด่วนเพราะมีข่าวใหญ่อยากแชร์
เมื่อเจ้านกเห็นผมนั่งคนเดียวเค้าบินดิ่งลงมาเกาะที่กิ่งไม้ทันทีแล้วเริ่มจะคุยกับผมดังนี้
(นก):'รู้รึป่าวฝรั่ง ฉันพึ่งบินมาจาก กทม พวกผู้สมัคร สส
กำลังหาเสียงการเลือกตั้งที่กำลังมาถึงในเร็วๆนี้'
เจ้านกพูดเร็วแทบหายใจไม่ทัน
'ฉันมีเพื่อนนกกาแถวนั้น
เค้าบอกฉันว่าที่จริงแล้วคนไทยจะลงคะแนนกันทั้งประเทศในวันอาทิตย์นี้'
เจ้านกพูดพร้อมบ่นว่า ไม่ชอบเสียงดังของรถหาเสียงที่วิ่งตามถนนทั้งเมือง
'ถ้าเค้าจะจัดการการเลือกตั้งทั่วประเทศจริง
คงจะบินหาที่หลบเสียงดังไม่ได้หรอก' เค้าบ่นให้ฟัง
ผมฟังเจ้านกพูดยาวๆก่อนตอบกลับไปว่า
(ฝรั่ง):'แล้วเจ้านกเอ๋ยเรื่องนี้จะเกี่ยวกับฉันยังไง
พวกฝรั่งอย่างฉันไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งอยู่แล้ว ทางรัฐห้าม'
เจ้านกเสยขนที่ตัวกลมๆเค้า แล้วตอบมาว่า
(นก):'โทษที่ฝรั่งจ๋า นกตัวเล็กอย่างฉันมักพูดมากเจี๊ยวจ๊าวตามสายพันธุ์
แต่เราเอาข่าวร้อนๆ จากกรุงเทพมาเล่าให้แกฟัง จะงี่เง่าทำไม'
(ฝรั่ง): 'อ้าว เจ้านกบอกเองว่าชอบคุยกัน แต่ดันไม่ชอบคนทำเสียงดัง
มันไม่ make sense' ผมตอบงงๆ
เจ้านกกระพือปีกและเชิดปากขึ้นเหมือนเตรียมตัวด่าฝรั่งพูดโง่ๆยังนี้เป็นชุดเลย
(นก) :'ไม่ชอบเสียงดังของคนก็จริงค่ะแต่ถ้าเป็นเสียงของพวกเรา ฉันพอจะรับได้'
ทันใดนั้น เค้าปล่อยเสียงเค้าออกเพื่อจะพิสูจน์ว่า
เค้ามีเสียงไพเราะจริง
'คุคุคุคุคุคุคาคาคาคา...'
ผมฟังเค้าแล้วก็งงอีก
(ฝรั่ง):'เจ๊นี่เป็นเสียงนกพันธุ์คุกคาบาร่าไม่ไช่เหรอ
นกออสซี่ที่ชอบหัวเราะเหมือนคนบ้า'
(นก): 'ใช่ค่ะแต่พวกเราชอบเลียนแบบเสียงนกโด่งดังอย่างเค้า
ฉันมีญาติสอนให้เราหัวะเราะอย่างเค้าตรงเป๊ะเลย'
(ฝรั่ง): 'โอเคคับ แล้วแกมีเรื่องสำคัญๆ อะไรมาเล่าให้เราฟังอีกบ้าง
เอาเข้าประเด็นเถอะ'
ผมชักจะเริ่มเบื่อฟังนกที่พูดมากไร้สาระ แถมชอบโอ้อวดความรู้อีก
(นก) :'ใจเย็นๆนะคะฉันบินเที่ยวมาเป็นสองชั่วโมงเพื่อจะกระพือข่าว
ฉันรู้ทันข่าวทั้งหมด สมองไหวพริบดี อย่างที่เธอทราบนั้นแหละ
แต่โทษทีนะคะ หนูอาจจะยังไม่เก่งเท่ากับนกท้องถิ่นแถบนี้ (สัตหีบ)ก็ได้
เค้าหัวไวเหลือเกิน'
เจ้านกประชดผม เหมือนหาว่า ผมเริ่มจะมีใจให้นกตัวอื่นที่หน้าตาสวยกว่า
'แต่ฉันจะเข้าประเด็นหน่อยแล้วกัน ฉันมีอีกเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง'
'ว่ายังไงเจ๊...' ผมถาม
(นก):'เธอมีเพื่อนคนไทยที่หายไปจากชีวิตเป็นชั่วคราวแล้วใช่มั้ยจ๊ะ'
เจ้านกชอบเผยข่าวที่เก็บไว้ทีละนิดละน้อย
ชอบเล่นหัวผู้ฟัง
'ใช่จ่ะ'
อีนกน่าจะพูดถึงเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งใกล้บ้านเรา
ที่เพื่อนๆ ร่วมกับผมด้วย ค่อยเฝ้าดูแลอยู่ตอนนี้
หลังจากแม่น้องไล่เค้าออกจากบ้านไป เป็นการลงโทษที่น้องที่ไม่ยอมเลิกเล่นยา
'เพื่อนรุ่นน้องคนนี้เคยทำงานที่เซเว่นใกล้บ้านเธอแต่เลิกงานไปแล้วใช่มั้ยจ๊ะ'
(ฝรั่ง): 'ก็ใช่ละสิเจ๊ เรารับรู้อยู่แล้ว เค้าเป็นอะไรไปมั้ย'
(นก) 'เรามีเพื่อนอีก นกเอี้ยงช่างสอดแนมเก่งที่บินแถวบ้านเค้า
แอบส่องว่าเค้าชอบนอนพักบ่อยๆ
ดังนี้เค้าคงจะเตรียมตัวไว้ลุยไปรับทำงานใหม่มั้ง
หรือว่า...'
อีนกหยุดชะงัก เพื่อจะเน้นประเด็นต่อ 'หรือว่าอาจจะแสดงว่าน้องแอบกลับไปเล่นยาอีก'
ในฐานะน้องเป็นวัยรุ่นเงียบขรึม เค้าไม่ค่อยพูดอะไรกับใคร
เราถึงต้องพึ่งอาศัยอีนกพวกนี้ ถ้าอยากได้รับรู้ข่าวของน้อง
(ฝรั่ง):'พวกแกโชคดีเนอะ คงบินไปถึงตัวคนได้
ผมเองยังไม่ได้เจอเค้าเป็นหลายอาทิตย์ มันชอบเก็บตัวในห้อง'
ผมเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่อยากให้อีนกรู้ถึงความรู้สึก
(นก): 'ฉันจะฝากบอกฮัลโหลเค้าให้ก็แล้วกัน'
แชร์ข่าวน้องไปแล้ว นกบินออกจากกิ่งไม้ทันที
บินสูงขึ้นสู่อากาศทิ้งห่างๆผมไป
ปล่อยให้ผมนั่งคนเดียวเหมือนเดิ

ทุกครั้งที่อีนกมาแชร์ข่าวของน้อง
รู้สึกว่า นกได้แกะสะเก็ดแผลในใจผมก่อนสุก
น้องเป็นจุดอ่อนของเรา
เผลอไปคิดถึงเค้า ความรู้สึกแย่ๆวูบเข้ามา
ดังเราลอยน้ำในทะเล และคลื่นยักจะปะทะตัว
เราเป็นห่วงน้องหลายอย่างจนดูคล้ายกับว่าเรารู้สึกผิด ชอบปั่นหัวตัวเองอย่างนั้น
เราชอบคิดหนักๆว่า น้องอาจจะขาดความรักของแม่ ขาดงานทำ ขาดอาหารกินอีก
แต่บางครั้งเราต้องถามตัวเองหน่อย เป็นห่วงเค้าไปแล้ว เราได้อะไรกลับมา?
ชีวิตน้องวนเวียนไปกับยาเสพติดและคนไม่ดี เหมือนคนปลักจมโคลน
เพราะมันดื้อไม่ยอมฟังใคร
ไม่ยอมทำงาน ไม่ยอมเลิกยา หลายสารพัด
ถ้าเจอหมาจรจัดป่วนเปี่ยนแถวบ้าน ที่ไม่มีใครรัก
และอุ้มหมาตัวนี้กลับบ้านไปเลี้ยง
เราอาจจะถูกหมาฟัดเหวี่ยงกัดก็ได้
เพราะหมาตัวนี้ยังไม่เชื่อง เนื่องจากว่า เจ้าของเก่าเลี้ยงห่วย

update วันที่ 18 กันยายน, 2022:

พอตระหนักถึงวันนั้น ที่อีนกบินมาหาเรา
และกระจ่ายข่าวน้องให้ฟัง เพื่อกวนใจเราฟรีๆ
เราบอกกับตัวเองว่า วันหน้าเราจะห้ามอีนกตัวนี้พูดก่อนดีกว่า
คือผมไม่อยากรู้เรื่องของน้องแล้ว
เราต้องไปยุ่งกับคนอื่นทำไมถ้าไม่ใช่ญาติของเรา
ต่อจากนี้เราต้องทุ่มเทเวลากับแฟนตัวเองดีกว่า ก่อนไปคิดถึงคนอื่นเค้า
เอาใจใส่แฟนเรา เราจะเสริมความหนักแน่นต่อใจของกันละกัน
และจะช่วยให้ลืมปัญหานอกบ้านได้ง่ายๆ
ถ้าเราทำได้ เราไม่ต้องฟังอีนกพวกนี้อีก
ที่ชอบพาเราไปรู้สึกผิด ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ
อีนกเป็นตัวละครที่รับบทเป็น guilty conscience โดยเสียงไพเราะตามธรรมชาติของมั
คือ'คุคุคุคุคุคุคาคาคาคา'
...จะกลายเป็นเสียง
'น้อง น้อง น้องๆ' แทน
เสียงเจี๊ยวจ๊าว พูดพล่ามไม่หยุด
เราอาจจะดูไม่เห็นอกเห็นใจเค้า
แต่ช่างมัน เราต้องเอาตัวรอดไปก่อน
คนนอกอาจจะด้อยโอกาสดูเป็นคนน่าสงสารจริง แต่นั้นก็เป็นเรื่องของเค้า
ทุกคน แม้ว่าจะเป็นใคร ควบคุมชะตากรรมตัวเองได้อยู่ในระดับหนึ่ง
ชีวิตเค้าจะเป็นยังไงเค้าตัดสินเองให้เป็นแแบนั้น
พวกเราที่อ่อนไหวกับคนง่าย ต้องหัดรู้จักคำว่า ปลดปล่อย แค่นี้เอง
เปลี่ยนแนวคิดเสร็จ เราไม่ต้องรู้สึกผิดถ้าไม่อยากช่วยคนอีก
และไม่ต้องเฝ้าฟังพวกอีนกพูดพล่อยๆอีกด้วย
ครั้งหน้า เราจะแอบอยู่ในกระโจมนั่งร้านสำหรับล่าสัตว์ในป่าใกล้บ้านพักเรา
พอเราเห็นอีนกพวกนี้บินเข้ามา
ฉันจะยิงปืนไล่นกขี้คุยนี้ออกไปไกลๆเลย น่าจะดีกว่า

โพส์ตเด่น

Blast from the past (part 1)

Jack's Point golf club, with the Remarkables range "คุณเคยมาที่นี่เมื่อก่อนนี้," ผู้จัดการร้านอาหารกล่าวอย่ างเป็นนัย ร้านอาหา...

โพส์ตนิยม