ในขณะที่เราเดินไปยังตึกที่น้องพัก
ผมเห็นผู้รับการบำบัดอีกคนหนึ่ง
น่าจะเป็นคนใหม่ที่พึ่งมาถึง ร พ เหมือนเรา
เป็นหนุ่มอายุประมานยีสิบปีต้นๆ
เดินอยู่บนฟุตบาตไปอย่างมิดชิดกับพ่อแม่
โดยพ่อเดินพร้อมจับมือลูกที่ดูหน้าหม่นหมองเครียดเหลือเกิน
เพื่อปลอบใจเค้า
ผมสะเทือนใจ
ไม่ใช่ทุกวันหรอกที่เราได้เห็นพ่อจับมือลูกโตๆ แบบนี้
เมื่อผมแอบสะกิดแขนแม่น้องธีร์ให้แกมองดูสภาพครอบครัวนี้ด้วย
แม่ตอบว่า
‘น้องๆที่มา ร พ นี้
มักจะกลัวเพราะไม่เคยเข้ารับการบำบัดตัว จะเจ็บจะยากไหม เค้ายังไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรข้างหน้า พ่อแม่คงจะจับมือเค้า
และปลอบโยนใจเค้าว่า 'ไม่ต้องเครียด ไม่เป็นอะไรนะลูก’
เมื่อก่อนพ่อแม่อาจจะทะเลาะกับลูกคนนี้แรงก็ได้
แต่พอถึงวันนี้เค้าต้องเห็นใจน้องบ้าง เพราะเค้าอยู่ในที่แปลกๆ
แล้วพอเดินเข้าห้องกลายเป็นผู้รับการรักษาตัวเรียบร้อย
จะไม่มีโอกาสได้เจอพ่อแม่อีกนานแล้วด้วย
ผมนึกถึงกรณีของธีร์
ซึ่งสร้างปัญหาให้กับครอบครัวเค้าเหมือนกัน
โดยแม่เสียโอกาสที่ได้ให้ ธีร์
ขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวช่วยทางบ้านในฐานะเค้า
เป็นลูกผู้ชายคนโต
แล้วน้องชาย
น้อง บี ก็ไปเสียโอกาสที่จะได้มี พี่ธีร์ ได้เป็นพี่ชายที่ดีน่านับถือด้วย
ทุกคนในครอบครัวเสียไปหมดเพราะยาเสพติดนั้นเอง
เพียงแต่ว่าน้องธีร์ดื้อและใจอ่อนต่อชีวิตเกินไปที่ได้รู้ถึงการว่าเค้าสร้างปัญหาอะไรไป
แต่สักวันเค้าอาจจะคิดได้
-
วันนี้เราได้คุยกับน้องแค่ 15 นาทีเอง
พอตอนเที่ยงวันเข้า น้องๆผู้รับการบำบัดต้องเข้าแถวเดินไปห้องกินข้าวกัน
วันนี้เราได้คุยกับน้องแค่ 15 นาทีเอง
พอตอนเที่ยงวันเข้า น้องๆผู้รับการบำบัดต้องเข้าแถวเดินไปห้องกินข้าวกัน
พอเสียงสัญญาณตอนเที่ยงดังออกมา
เค้าลุกขึ้น
ยกมือไหว้แม่อีกที
แล้วก็ถามเสียงอ้อนๆ
ว่า
เค้ายืนอยู่คนเดียวในห้องโถงใหญ่ดูน่าสงสารจัง ตอนที่เค้าอ้อนวอนแม่ น้องดูเป็นเด็กมาก เหมือนลูกหมดแรงต่อสู้ชีวิตแล้ว
ยอมรับชะตากรรมตัวเองว่าต้องถูกกักขังไว้ที่ห้องนี้ไปอีกนาน
คงรู้สึกเหงาเหลือเกินอยากกลับบ้านซะแล้ว ผมพอจะรู้ว่าน้องคิดอะไรในใจว่า
'ทำไมแม่ไม่พาผมกลับไปด้วย' ผมสงสารเค้าอีกชั่วแวบหนึ่ง แต่เราไม่ทันทำอะไรเพราะแม่หันหลังใส่ลูกรีบเดินออกจากห้องเลย
โดยไม่หันกลับไปตอบหรือมองลูกอีกที
ผมต้องวิ่งตามแม่ให้ทันไปเข้าลิฟท์พร้อมด้วยกัน ผมถามแกว่า 'ทำไมแม่ไม่รอให้ลูกกินข้าวเสร็จก่อน
แล้วค่อยไปคุยกันต่อ ไหนๆก็มาไกลขนาดนี้แล้ว'
แม่ตอบว่า:
‘แม่ไม่รู้จะคุยอะไรดีแล้ว
ธีร์ไม่ชอบอารมณ์เน่าๆด้วย’
ผมไม่แน่ใจแม่คิดอย่างนี้จริงรึเปล่า
คำพูดดังนี้ฟังเหมือนว่า
แม่พยายามแก้ตัวมากกว่า ที่เค้าไม่ยอมกอดลูกหรือจุ๊บเค้าบ้าง
ก่อนที่เราลาลูกไป
แม่ยื่นมือลูบหัวน้องแป๊บเดียวแค่นี้ แล้วก็รีบเดินออกไปทิ้งลูกให้ยืนไปแบบนี่แหละ
โมเมนท์น่ารักๆนั้นผ่านไปรวดเร็ว
ในมุมความเห็นของผม
แม่เลยพลาดโอกาสสมานรอยแตกร้าวที่ยังคาใจอยู่ระหว่างตัวตนกับลูกด้วย
ส่วนน้อง
เค้าต้องรออีกหนึ่งอาทิตย์ก่อนแม่จะกลับมาเยี่ยมเค้าอีกที
-
หลังจากลาน้องที่ห้องรักษาตัวแล้ว
เราแวะไปที่ห้องแอดมิดผู้รับการบำบัดอีกที
เพื่อจะฝากเงินค่ากินไว้กับเจ้าหน้าที่
now, see here
No comments:
Post a Comment
เขียนเป็นไทยหรืออ้งกฤษก็ได้คับ Thai or English is fine...