Friday, 29 September 2023

20plus club (Postscript 1)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต:มาบุญครองในช่วงแรก ก่อนจะปรับปรุงเป็น MBK
Center ในปี 2543
สมัยตอนที่พึ่งมาเมืองไทยแรกและยังไม่ได้เจอกับแฟน  จิตใจผมยังกระวนกระวาย น่าจะเป็นอาการที่เอามาจากชีวิตเก่าที่ต่างประเทศ

ผมไปหาหมอที่ กทม

เค้าให้ผมไปนอนพักที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในหอผู้ป่วยจิตเวช

ผมก็พักแค่คืนเดี่ยว  จำชื่อ รพ ไม่ได้แล้ว

แต่จำได้ว่าทาง รพ จัดให้พยาบาลเฝ้าคนไข้ ห้องละ 3-4 คน

ค่อยนั่งเป็นเพื่อน

หลังเราตื่นนอนตอนเช้า หมอจะแวะมาคุยและให้ยาคุมอาการ

เสร็จแล้วนางสาวพยาบาลพาผมไปเช็คเอาท์เหมือนเราไปนอนพักโรงแรมเลย

ตอนที่รอจ่ายบิล ผมได้เห็นหนุ่มฝรั่ง เป็นผู้ป่วยเหมือนกัน แจกจดหมายอยู่

พอมาถึงตัวเราผมก็ถามเค้าว่า นี่คืออะไร

ฝรั่งคนนี้ชื่อ จอร์จ บอกว่าเป็นจดหมายจากครอบครัวเค้า ที่เราก็อปไว้เป็นหลายแผนกระดาษ

ทางครอบครัวฝาก จม ฉบับนี้ให้เค้า เอาไว้ควักออกมาโชว์พวกหมอหรือน้องพยาบาลเมื่อใดที่อาการป่วยทางจิตเค้ากำเริบขึ้น

จดหมายแจกนั้นแจ้งว่าอาการเค้าว่าเป็นยังไง

ทางครอบครัวเค้าเป็นห่วงว่า เมื่อเค้าป่วยขึ้น เค้าอาจจะสื่อสารกับคนอื่นไม่ชัด เค้าถึงเขียนจดหมายนี้เป็นเครื่องช่วยให้สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ

ผมเข้าใจดี แต่หลังอ่านใจความ อดคิดไม่ได้ว่า จ.ม นี้นั้นชั่งก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของน้อง

น้องแจกจดหมายนี้ไปทั่ว ร่วมถึงมือคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

เหมือนเค้าประชดและลงโทษตัวเองที่ต้องรับมือกับครอบครัวจุ้นจ้านแบบนี้

เพราะจริงๆแล้วไม่ต้องแจกให้ใครรับรู้ทั้งสิ้น

ครอบครัวเค้ายังอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด เค้าจะมารับรู้เรื่องไหมว่าลูกจะแจกหรือไม่แจก

น้องเอาก๊อป จ.ม ไปแจกให้ทุกคนรับทราบ

เป็นวิธีการแสดงว่าตัวเองไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องทนรับอย่างเดียว

เรายังเก็บจดหมายนี้อยู่

เวอร์ชั่นเดิมเขียนเป็นอังกฤษแต่ผมขอเอามาแปลเป็นไทย

เค้าเขียนแบบนี้:

now, see here

20plus club (11)

YWCA, Sathon
หลังจากแยกทางกันเรียบร้อยแล้ว ผมรู้ข่าวทีหลังว่า เชอวอนได้ทำนัดไว้เพื่อบินไปแต่งงานกับ Hank ที่ america

ต่อมาทั้งคู่บินกลับมาซื้อบ้านและทำมาหากินที่ New Zealand

อดีตแฟนกลับไปทำงานเป็นผู้ช่วยคลินิกหมอ จนกระทั่งออกเกษียณอายุในวัย 71ปี เมื่อสองปีที่แล้ว

ส่วน Hank จากเมื่อก่อนเป็นครูสอนพลศึกษา ที่ รร ทางภาคใต้ของ America ตอนที่ไปเจอกับอดีตแฟนของผมทางเน็ต (ถ้าผมจำไม่ผิด)
พอมาถึง Wellington ก็มารับงานเป็นพนักงานที่ big box store
เมื่อหลายปีต่อมา เค้าก็เลิกทำงานนี้เพราะเป็นโรคซึมเศร้า (เชอวอนบอกผมในอีเมล)
และทำงานที่บ้านโดยผันตัวเองมาเป็นนักเขียนลักษณะตีพิมพ์ผลงานตัวเอง
ซึ่งผลงานแรกก็เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ เล่าเรื่องราวชีวิตแนวตลกในการปรับตัวเข้ากับชีวิตชาวกีวีที่ New Zealand
ต่อมาก็ผันตัวเองอีก มาเขียนในแนว sci fi
ผมพึ่งนึกถึงว่าตัว  Hank เป็นสมาชิกสโมสร 20-plus ที่ผมพูดถึงในหัวเรื่องนี้ได้เหมือนกัน
น่าจะถือโอกาสฉลองบ้าง
ไม่ใช่ฉลองในโอกาสได้เอาตัวรอดที่เมืองไทยอย่างผม
แต่ฉลองเมื่อได้คบกับ
เมียเก่าผม ที่ New Zealand เป็นเวลากว่า 20 ปี นั้นเอง

-
เปลี่ยนฉากกลับไปที่ กทม

ก่อนที่ผมจะมาถึง

ทางบริษัทที่จ้างผมเป็นนักข่าว

จองห้องพักไว้ให้ผมที่ YWCA แถวสาธร

ต่อมาเราต้องไปหาห้องเช้าของตัวเอง

ภายในสองอาทิตย์แรกผมได้เจอคนไทยเยอะมาก

เค้าดีใจที่จะได้รับรองฝรั่งอย่างผมที่เมืองไทย เหมือนเค้าไม่เคยเจอฝรั่งมาก่อน

ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอัดเข้าไปในเวลาอันสั้นๆ นั้น เต็มไปด้วยการเรียนรู้บนพื้นฐานความสุข

คนที่เราได้เจอกันในช่วงแรกนั้นมีดังนี้

1. ชาตรี หนุ่มพนักงานตอนรับที่ YWCA

เค้าพาผมไปกินข้าวมื้อกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน นอกนั้นก็พาไปหาครอบครัวเค้าที่ ตจว และตอนกลางคืน ก็แอบดอดมาเล่นกีตาร์ในห้องผมจนถึงรุ่งเช้าเลย

2. เอก หนุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ที่จอดประจำอยู่หน้า YWCA เป็นผู้ชายแท้แต่ชอบพาผมไปดูกะเทย cabaret ชื่อ Freeman แถวสีลม

3. เจย์ เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่พาผมไปกินเหล้าไทยที่บาร์แถวสุขุมวิท

4. มิสเตอร์บี หนุ่มน้อยน่ารักที่ทำงานเป็นเด็กเสริฟร้านกาแฟที่ตึก YWCA นั้น และจนกลายมาเป็นแฟนสุดที่รักของผมในที่สุด

ถ้าเชอวอนขโมยช่วงเวลาวัยรุ่นของผมไปอย่างที่พ่อแม่ว่า ภายในไม่กี่อาทิตย์แรกที่เราได้เข้ามาสู่อ้อมกอดของเมืองไทย

เรารื้อฟื้น lost youth นั้นให้กลับคืนมาได้เลย

-
ทางออฟฟิศผม เสนอตัวจัดการเรื่อง visa และ work permit ให้

เค้าทำแบบนี้ให้กับฝรั่งที่เค้าจ้างเป็นพนักงานทุกคน

เรื่องของมิสเตอร์บีนั้น

ผมเห็นร้านนี้มิสเตอร์บีทำงานอยู่เป็นหลายวัน แต่ไม่กล้าเข้าไปนั่ง เพราะดูจากบรรยากาศว่าน่าจะแพง

แต่วันหนึ่ง ผมเผลอตัวเดินเข้าไปนั่งเลย คงหิวมากมั้ง

ที่นี้ผมได้เจอกับเจ้าของร้าน

เป็นหนุ่มไทยตัวสูงๆ ที่มีรูปร่างสมชื่อ มีชื่อเล่นว่า 'ไจแอน' ที่พ่อแม่ตั้งให้

ไจแอนพูดภาษาอังกฤษเป็นและจูงมือผมให้ไปได้รู้จักกับพนักงานของเค้า

ร่วมถึงนายบีตัวยิ้มสวยดูร่าเริงนิสัยดี

พอดีมิสเตอร์บีพึ่งมาอยู่ กทม เหมือนกันหลังเดินทางจากบ้านเกิดที่ จว ชลบุรี

ไจแอนบอก:

'ตอนนี้มิสเตอร์บีนอนพักที่บ้านผม  อยากให้เค้าย้ายเข้าไปห้องไมเคิลเป็นเพื่อนกันไหม เค้าจะได้สั่งข้าวอร่อยๆ ให้กิน และช่วยแก้เหงาในชีวิตประจำวันด้วย'

ผมตกลงไว้เพราะอยากมีเพื่อน

ต่อมามิสเตอร์บีย้ายเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมห้องเรา

และเมื่อได้รู้จักกันและสนิทใจกันมากขึ้น เราตัดสินว่าจะออกไปหาห้องเช่าที่อื่นกัน

เป็นคนเดียวที่เรายังรักและเป็นคู่ใจจนถึงทุกวันนี้

ตอนนั้นแฟนใหม่เรา (มิสเตอร์บี) อายุแค่ 20 ต้นๆ และไม่เคยมาเที่ยว กทม มาก่อน

เราเลยได้เรียนรู้ กทม พร้อมไปด้วยกัน

เช่นในวันหยุด แฟนเรามิสเตอร์บีจะพาเราไปเที่ยวห้างเดินเล่น หรือนั่งเรือข้ามฝากดูวิวสวยๆ

และบางครั้งก็ซื้อตั๋วรถบัสนั่งกลับไปหาพวกญาติเค้าที่ชลบุรีด้วย

เรื่องของทรัพย์สินส่วนตัว ช่วงแรกคบกับเราไม่ค่อยมีอะไร แฟนทำงานที่ร้านกาแฟของพี่ไจแอน

ผมมีงานที่ นสพ นั้นแต่เงินเดือนรวมแล้วยังน้อยอยู่

วันนั้นที่บินมาถึงเมืองไทย ผมมีติดตัวมาแค่กระเป๋าเดินทางกับกีตาร์ตัวหนึ่ง แค่นั้น

มีเงินเก็บแต่ไม่เยอะ

สรุปแล้วเราต้องเริ่มสร้างชีวิตคู่จากรากฐานเปล่าๆแบบนี้จริงๆ

แฟนจัดหาห้องเช่าให้เราได้ที่ฝั่งธน ในตลาดเก่าๆ ชื่อ ตลาดพลู

และใช้ชีวิตร่วมกันของเรา ไทยผสมฝรั่งเริ่มต้นที่นั้นจริงๆ (อ่านได้ต่อที่นี้ เป็นภาษาอังกฤษ)

now, see here

Wednesday, 27 September 2023

20plus club (10)

Christchurch Cathedral ก่อนแผ่นดินไหว 2554 ทำให้เสียหาย

จะว่าไปแล้ว ปกติเชอวอนจะปฏิเสธเสมอถ้
าผมขอเลิกคบกัน

เค้ากลัวว่าถ้าโดนทิ้งจะไม่มีเงิน และไม่มีใครดูแล เพราะเค้าเริ่มจะแก่ตัวแล้ว

แต่หลังจากที่เชอวอนแอบไปเจอกิ๊ก เค้าก็เปลี่ยนใจทันที ยินดีที่ได้แยกทางกัน

เค้ายังปิดสาเหตุจริงๆ ที่ว่าได้ไปเจอกับคนใหม่แล้ว

Hank น่าจะมีตังค์ด้วย แต่เชอวอนวางแผนให้ผมออกค่าชดเชยก่อนถ้าอยากเลิกกันจริง

เค้าอยากให้ผมยกสมบัติร่วมให้เค้าโดยเล่นวาทกรรมว่า เรากำลังทิ้งเค้าโดยไม่เอาใจใส่ว่าชะตากรรมเค้าจะเป็นยังไง

Hank มีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้รึป่าวไม่รู้

แผนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเชอวอนให้เราจ้างทนายความ เพื่อจะจัดทำข้อตกลงทางกฎหมาย

เค้าอยากให้ทนายควบคุมการแบ่งสมบัตินั้น อาจจะคิดว่าถ้าเราลงเขียนรายละเอียดไว้ในเอกสารทางการผมคงไม่กล้าเบี้ยว

โดยเชอวอนเรียกร้องส่วนแบ่งเยอะมากเท่ากับสัดส่วน 70% ของทรัพย์สินทั้งหมด

ทั้งๆที่ผมทำมาหากิน full-time ตั้งแต่เรียนจบ ขณะเดียวกันที่ เชอวอน ทำงานแค่นิดเดียงเอง

เป็นวิธีการขูดรีดทรัพย์สินแบบแนบเนียนมาก

ที่มาอาศัยความรู้สึกผิดของผม ที่เป็นฝ่ายรุกที่จะขอเลิกกับเค้าก่อน

แค่นี้ยังไม่พอ

เชอวอนยังขู่ว่า ถ้าผมไม่จ่ายตามที่เค้าเรียกร้อง  เค้าจะขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องน่าอับอายเอาออกมาเปิดโปงให้ทุกคนรับทราบ

--

ผมยอมใจจ้างทนายเพื่อความสบายใจของแฟน

เวลาเรานัดคุยกับทนายกัน เชอวอนชอบอ้างว่า หลังแยกทางกันเสร็จ เค้าจะไม่มีใครดูแล ผมต้องเห็นใจเค้าบ้าง และโยนทรัพย์สินไปให้เค้า

เราจ้างทนายจากบริษัทกฎหมายดังๆ ที่ตีราคาแพงที่สุดในเมือง สองบริษัท (เวลาปรึกษาทนาย ผู้เป็นคู่ที่กำลังเลิกกันต้องจ้างทนายความคนละบริษัทกัน)

ทนายบอกชัดเจนว่า ถึงจะตกลงแบ่งทรัพย์สินกันและลงลายเซ็นชื่อกันตามที่เชอวอนต้องการ

กดหมายจะไม่มีบังคับใช้อยู่ดี เพราะเราไม่ได้แต่งงานกัน

เราไม่ต้องให้อะไรสักนิดเลย เลิกก็เลิกกันไป เค้าพูดแบบนี้แต่แฟนเราไม่สนใจ

(ในปี 2002 รัฐสภา New Zealand ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายที่จัดให้ de facto couples หรือคู่รักโดยพฤตินัย ได้รับสิทธิแบ่งทรัพย์สินที่เท่าเทียมกันถ้าเลิกกัน แต่ผมเลิกคบกับเชอวอนก่อนหน้านั้นแล้ว)

ถ้าแต่งงานกันจริงเราต้องแบ่งทรัพย์สินกัน 50 ต่อ 50 แต่กรณีของเราไม่ใช่

ทนายผมถึงแนะนำไม่ให้ลงเซ็นชื่อ

'ถึงจะบังคับใช้ไม่ได้ ยังไงๆ นิติกรรมนี้ก็ไม่แฟร์ เค้าเรียก 70% ได้ยังไง ฉันแนะไมเคิลไม่จ่ายเงินหรือยกอะไรให้ฝ่ายเค้าที่เกินกว่าครึ่งหนึ่ง'

ทนายผมว่ายังนี้

วันนั้นที่เราทำนัดเจอกันเพื่อเซ็นชื่อลงในสัญญา

ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าผมยอมใจเซ็นจริงหรือไม่

แต่เรื่องนี้ก็ไร้สาระตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

ผมยังเป็นห่วงว่า ชีวิตแฟนจะเป็นยังไงหลังเลิกกัน

สุดท้ายผมก็ยังให้เค้าเยอะหน่อย แต่ไม่ถึง 70% หรอก

ผมรู้สึกสงสารเค้า และอยากช่วยถ้าเป็นไปได้

ตอนนั้นผมลืมไปว่า สักวันผมอาจจะเจอคนใหม่ด้วยเหมือนกัน

ไม่ใช่เชอวอนคนเดียวหรอกที่จะมีอนาคต

ถ้าเรายกให้เยอะตามที่เค้าเรียก เราจะเหลืออะไรให้ตัวเองวะ

จบธุระทนายความแล้ว ผมวางขายบ้านเราต่อ

ขายเสร็จก็นำรายได้เอาไปใช้หนี้สินจนหมด

พร้อมโยนทะเบียนรถเก๋งไปให้แฟนฟรีๆ

และยกทิ้งข้าวของในบ้านเกือบหมดให้เชอวอนด้วย

รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้พื้นเมือง ราคาแพงๆ ที่เราซื้อกันมาที่ ตจว

โชคดีที่เราจับได้ว่าจริงๆแล้วแฟนเราได้ไปมีกิ๊กซะแล้วด้วย

ถ้าไม่อย่างนั้นผมอาจจะเสียมากกว่านี้ก็ได้

แต่ผมไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปยุ่งกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของผม

เป็นเงินที่เราเก็บไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานเมื่อ 10 ปีก่อน ยอดรวมหลายหมื่นดอลล่าเลย

ผมใจแข็งไว้ในเรื่องเงินก้อนนี้ เลือกเก็บไว้ใช้เองทั้งหมด

เป็นเงินที่เชอวอนอยากได้มากที่สุด แต่ผมไม่ให้สักดอลล่าเดียว

เราต้องใช้เงินนี้เอาไว้เป็นหลักคำประกันในยามคับขัน

ผมไม่ได้รู้สึกผิดที่ไม่ได้แบ่งส่วนนี้ ถึงจะดูตระหนี่ขี้เหนียวก็เหอะ

เค้าได้มีผัวใหม่แล้วนิ จะให้ไปทำไม อยากได้ตังค์ก็ต้องไปขอแฟนเค้าเองสิ

ก่อนที่ผมจะบินออกไปถึงเมืองไทย เชอวอนยอมรับความจริงว่า เค้าได้เจอคนใหม่แล้ว

แต่ผมไม่สนใจ อยากทำก็ทำไป

วันก่อนจะบินออกไป ผมแวะนั่งโบสถ์ฝรั่งที่ใจกลางเมือง Christchurch เพื่อจะขอพรพระเจ้าให้คุ้มครอง

และไปหาพ่อแม่ที่บ้านเพื่อลาก่อน

เสร็จแล้วผมขับรถไปหาเชอวอนที่บ้านเรา

เรานัดเจอกันกินข้าวมื้อสุดท้าย

เชอวอนที่ยังมีสิทธิครองบ้านเราที่ St Albans  (ผู้ซื้อยังไม่ได้เข้า)

คุยไปคุยมาเค้าดันเกิดอารมณ์ทางเพศ

ตอนที่เราปิดบ้านกัน เค้าหันกลับไปดูห้องนอนและถามผมว่า

'อยากมีอะไรเพื่อจดจำช่วงเวลาดีๆ ของเราบ้างไหม'

ไม่นะครับ เวลาของเราผ่านไปแล้ว  ผมไม่มีอารมณ์แบบนั้นแล้ว

ผมนึกเผลอในใจ

ว่าเราเคยเห็นเชอวอนเขียนถึง Hank ในอีเมลแอบๆนั้นว่า

'I haven't had a man make decent love to me in so long.'

อ้อวววว! ถ้าผมเล่นเซ็กห่วยขนาดนี้ จะให้เรามาร่วมเล่นเซ็กกันบนเตียงกันอีกทำไมเล่า มืงมีคนใหม่แล้ว ไปขอเค้าดีกว่าไม่ใช่เหรอ

เอาเถอะ ยังไงผมก็ไม่เอาอยู่ดี

กินข้าวเสร็จ ผมเดินทางไปที่สนามบิน

ขึ้นเครื่องแล้วผมรู้สึกว่า ผมได้ฟรีดอมกลับคืนมาเป็นครั้งแรก 15 ปี

ผมบินออกจากชีวิตเก่า

ลาก่อนเมือง Christchurch

พร้อมทิ้ง พวกเพื่อน ญาติ แฟนเก่า ช่วงอดีต และอนาคตที่เกี่ยวข้องกับ New Zealand ไปด้วยกันทั้งหมดรวดเดียวเลย

now, see here

โพส์ตเด่น

Mr Handsome returns

Mr Handsome เป็นผู้ชายไทยเกย์หนุ่มที่ เคยเขียนโพสต์ให้บล็อก Bangkok of the Mind หรือ BOTM2 (เป็นรุ่นพี่ของบล็อกฉบับนี้) เป็ นประจำหลายปีก่อน...

โพส์ตนิยม