 |
YWCA, Sathon |
หลังจากแยกทางกันเรียบร้อยแล้ว ผมรู้ข่าวทีหลังว่า เชอวอนได้ทำนัดไว้เพื่อบินไปแต่งงานกับ Hank ที่ america ต่อมาทั้งคู่บินกลับมาซื้อบ้านและทำมาหากินที่ New Zealand
อดีตแฟนกลับไปทำงานเป็นผู้ช่วยคลินิกหมอ จนกระทั่งออกเกษียณอายุในวัย 71ปี เมื่อสองปีที่แล้ว
ส่วน Hank จากเมื่อก่อนเป็นครูสอนพลศึกษาที่โรงเรียน ในรัฐจอร์เจียของสหรัฐอเมริกา (ถ้าผมจำไม่ผิด)
พอมาถึง Wellington ก็ปรับโฉมรับงานเป็นพนักงานที่ big box store
เมื่อหลายปีต่อมา เค้าก็เลิกทำงานนี้เพราะเป็นโรคซึมเศร้า (เชอวอนบอกผมในอีเมล)
และทำงานที่บ้านโดยผันตัวเองอีกทีมาเป็นนักเขียนลักษณะตีพิมพ์ผลงานตัวเอง
ซึ่งผลงานแรกก็เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ เล่าเรื่องราวชีวิตแนวตลกในการปรับตัวเข้ากับชีวิตชาวกีวีที่ New Zealand
ต่อมาก็ผันตัวเองอีกทีมาเขียนในแนว sci fi
ผมพึ่งนึกถึงว่าตัว Hank เป็นสมาชิกสโมสร 20-plus ที่ผมพูดถึงในหัวเรื่องนี้ได้เหมือนกัน
น่าจะถือโอกาสฉลองบ้าง
ไม่ใช่ฉลองในโอกาสได้เอาตัวรอดที่เมืองไทยอย่างผม
แต่ฉลองความจริงที่เขาสามารถอยู่รอดมาได้ 25 ปีในความสัมพันธ์กับอดีตคู่ของฉันที่มีเล่ห์เหลี่ยมเหลือเกิน
-
เปลี่ยนฉากกลับไปที่ กทม
ก่อนที่ผมจะมาถึง
ทางบริษัทที่จ้างผมเป็นนักข่าว
จองห้องพักไว้ให้ผมที่ YWCA แถวสาธร
ต่อมาเราต้องไปหาห้องเช้าของตัวเอง
ภายในสองอาทิตย์แรกผมได้เจอคนไทยเยอะมาก
เค้าดีใจที่จะได้รับรองฝรั่งอย่างผมที่เมืองไทย เหมือนเค้าไม่เคยเจอฝรั่งมาก่อน
ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอัดเข้าไปในเวลาอันสั้นๆ นั้น เต็มไปด้วยการเรียนรู้บนพื้นฐานความสุข
คนที่เราได้เจอกันในช่วงแรกนั้นมีดังนี้
 |
เจ้าพระยา ปี 1997 |
1. ชาตรี หนุ่มพนักงานตอนรับที่ YWCA
เค้าพาผมไปกินข้าวมื้อกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน นอกนั้นก็พาไปหาครอบครัวเค้าที่ ตจว และตอนกลางคืน ก็แอบดอดมาเล่นกีตาร์ในห้องผมจนถึงรุ่งเช้าเลย
2. เอก หนุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ที่จอดประจำอยู่หน้า YWCA เป็นผู้ชายแท้แต่ชอบพาผมไปดูกะเทย cabaret ชื่อ Freeman แถวสีลม
3. เจย์ เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่พาผมไปกินเหล้าไทยที่บาร์แถวสุขุมวิท
4. มิสเตอร์บี หนุ่มน้อยน่ารักที่ทำงานเป็นเด็กเสริฟร้านกาแฟที่ตึก YWCA นั้น และจนกลายมาเป็นแฟนสุดที่รักของผมในที่สุด
ถ้าเชอวอนขโมยช่วงเวลาวัยรุ่นของผมไปอย่างที่พ่อแม่ว่า ภายในไม่กี่อาทิตย์แรกที่เราได้เข้ามาสู่อ้อมกอดของเมืองไทย
เรารื้อฟื้น lost youth นั้นให้กลับคืนมาได้เลย
-
ทางออฟฟิศผม เสนอตัวจัดการเรื่อง visa และ work permit ให้
เค้าทำแบบนี้ให้กับฝรั่งที่เค้าจ้างเป็นพนักงานทุกคน
เรื่องของมิสเตอร์บีนั้น
ผมเห็นร้านนี้มิสเตอร์บีทำงานอยู่เป็นหลายวัน แต่ไม่กล้าเข้าไปนั่ง เพราะดูจากบรรยากาศว่าน่าจะแพง
แต่วันหนึ่ง ผมเผลอตัวเดินเข้าไปนั่งเลย คงหิวมากมั้ง
ที่นี้ผมได้เจอกับเจ้าของร้าน
เป็นหนุ่มไทยตัวสูงๆ ที่มีรูปร่างสมชื่อ มีชื่อเล่นว่า 'ไจแอน' ที่พ่อแม่ตั้งให้
 |
กทม ปี 1997 |
ไจแอนพูดภาษาอังกฤษเป็นและจูงมือผมให้ไปได้รู้จักกับพนักงานของเค้า
ร่วมถึงนายบีตัวยิ้มสวยดูร่าเริงนิสัยดี
พอดีมิสเตอร์บีพึ่งมาอยู่ กทม เหมือนกันหลังเดินทางจากบ้านเกิดที่ จว ชลบุรี
ไจแอนบอก:
'ตอนนี้มิสเตอร์บีนอนพักที่บ้านผม อยากให้เค้าย้ายเข้าไปห้องไมเคิลเป็นเพื่อนกันไหม เค้าจะได้สั่งข้าวอร่อยๆ ให้กิน และช่วยแก้เหงาในชีวิตประจำวันด้วย'
ผมตกลงไว้เพราะอยากมีเพื่อน
ต่อมามิสเตอร์บีย้ายเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมห้องเรา
และเมื่อได้รู้จักกันและสนิทใจกันมากขึ้น เราตัดสินว่าจะออกไปหาห้องเช่าที่อื่นกัน
เป็นคนเดียวที่เรายังรักและเป็นคู่ใจจนถึงทุกวันนี้
ตอนนั้นแฟนใหม่เรา (มิสเตอร์บี) อายุแค่ 20 ต้นๆ และไม่เคยมาเที่ยว กทม มาก่อน
เราเลยได้เรียนรู้ กทม พร้อมไปด้วยกัน
เช่นในวันหยุด แฟนเรามิสเตอร์บีจะพาเราไปเที่ยวห้างเดินเล่น หรือนั่งเรือข้ามฝากดูวิวสวยๆ
และบางครั้งก็ซื้อตั๋วรถบัสนั่งกลับไปหาพวกญาติเค้าที่ชลบุรีด้วย
เรื่องของทรัพย์สินส่วนตัว ช่วงแรกคบกับเราไม่ค่อยมีอะไร แฟนทำงานที่ร้านกาแฟของพี่ไจแอน
ผมมีงานที่ นสพ นั้นแต่เงินเดือนรวมแล้วยังน้อยอยู่
วันนั้นที่บินมาถึงเมืองไทย ผมมีติดตัวมาแค่กระเป๋าเดินทางกับกีตาร์ตัวหนึ่ง แค่นั้น
มีเงินเก็บแต่ไม่เยอะ
สรุปแล้วเราต้องเริ่มสร้างชีวิตคู่จากรากฐานเปล่าๆแบบนี้จริงๆ
แฟนจัดหาห้องเช่าให้เราได้ที่ฝั่งธน ในตลาดเก่าๆ ชื่อ ตลาดพลู
และใช้ชีวิตร่วมกันของเรา ไทยผสมฝรั่งเริ่มต้นที่นั้นจริงๆ (อ่านได้ต่อที่นี้ เป็นภาษาอังกฤษ)