Monday 18 November 2019

job at the 7-11, back to rehab (10)

แกโพสเหมือนไม่เอาธีร์เป็นลูกเสียแล้ว เอาแต่ลูกคนเล็ก
แม่ประกาศว่า
ใช้ความคิดคนเดียวเหนื่อยนะ
คนนึงเรียน คนนึงป่วย
มีลูกที่ดี ไม่ป่วย
มันก็ดีที่สุดแล้ว ได้คน เสียคน ชีวิต 35ปี ทนได้งัย
อ่านแล้วผมไม่พอใจอีก แม่จะทิ้งลูกตัวเองได้เหรอ สำหรับลูกตัวเล็กแม่มีแต่คำชม สำหรับตัวโต ไอ้ธีร์นั้น ก็ฟังเหมือนแม่ไม่อยากรู้จักแล้ว ครั้งนี้ผมไม่ได้พูดอะไรกับแม่หรอก แต่ระบายให้เพื่อนน้องฟัง คือน้องต้นนั้นเอง  ผมเขียนว่า:
'เค้าคิดหนักมั้ง จะไม่มีวันหรอกที่พ่อแม่ฝรั่งจิตปกติจะพูดถึงลูกตัวเองในแง่ลบแบบว่า ได้คนหนึ่งเสียคนหนึ่ง แล้วผมไม่รู้ว่าคำว่า ป่วย หมายถึงอะไร ถ้าธีร์เป็นโรคซึมเศร้าก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ รักษาได้อยู่
แต่ธีร์อาจจะมีอาการหนักกว่านั้นก็ได้ แม่ถึงจะซึมเศร้าขนาดนี้ พวกเราจะไม่รู้หรอกเพราะไม่ได้เจอเค้าเป็นนาน เราเจอตัวแม่เมื่อวันก่อน เค้านั่งเงียบไม่คุยกับใครเหมือนคนคิดมาก
แต่เป็นยังไงก็ช่าง แม่ต้องสู้เพื่อลูกอยู่ดี ไม่ใช่ปล่อยทิ้งแม่งไปเลยอย่างที่ทำไปเหมือนเมื่อก่อน
แม่ดูเหมือนสงสารตัวเองมากเกินไป'
น้องต้นเห็นด้วยกับผมและตอบว่า
'สงสารธีร์จริง'
แม่อาจจะเครียดเรื่องเงินที่ไปคิดว่าอยากลืมทิ้งลูกไปแบบนี้
ในช่วงต้นเดือนมิถุนาแม่โพสถึงค่าใช่จ่ายที่บ้าน
สรุปแล้วเค้าเป็นหนี้สูง
ผมรู้จากธีร์ก่อนหน้านี้ว่า แม่มีพี่สาวที่ค่อยเจือจุนช่วยครอบครัวด้วยทรัพย์สินเงินทอง
ผมไม่รู้ว่าพี่สาวนี้จะช่วยมากน้อยแค่ไหน
แต่รายการค่าใช้จ่ายที่แม่เผยให้ดูค่อนข้างสูง
แม่เขียนว่า:
คุณอายุ 35  คุณมีอะไร
มีหนี้สามแสน
ลูกป่วยเดือน 15,000
คนเล็ก 11,000 ดอกรายเดือน รายวัน บราๆ
จะไปต่อ  รึพอ  ก็คิดเอา

ข้อนั้นที่พูดถึงว่าลูกป่วย หมายถึงธีร์ และแสดงว่าแม่ออกค่ารักษาน้อง เดือนละ 15,000 บาท (ธีร์ไม่ได้รับการบำบัดตัวฟรีดังที่ไอ้เต๋าบอกกันวันนั้น เค้าไม่รู้อะไรเลย)
ส่วนที่แม่ทิ้งท้ายว่า จะไปต่อหรือพอ นั้น
ถ้าอยากเลิกเป็นแม่ ลูกจะทำยังไงนะจ๊ะ
แม่คงรู้เองว่าแกต้องทำหน้าที่การเป็นแม่ต่อไปนั้นเอง
ในช่วงนี้ผมยังตามรอยโซเชียลแม่ไปเรื่อยเพราะเราไม่มีข้อมูลจากคนอื่นที่บ่งบอกว่าาธีร์เป็นยังไง
ผมสนใจเฉพาะโพสที่เกี่ยวกับน้องนั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ต้องทนไว้อย่างเดียว
ครั้งต่อไปที่แม่พูดถึงธีร์ ก็เป็นในวาระวันเกิดเค้า วันที่ 20 กรกฏา
แม่โพสขึ้นรูปลูกสมัยเด็กน่ารักๆของเค้าให้ผู้ฟอลโล่ดู
พร้อมกับรูปปัจจุบันของน้องที่สถานบำบัดที่จังหวัดราชบุรี
ที่มีคนถ่ายไว้
ผมไม่แนใจว่าแม่ไปหาเค้ารึป่าว เพราะตัวแกไม่ได้ปรากฏกับลูกในรูปนั้น

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (9)


แม่น้องอวดเสื่อยืดที่ทำสกรีนรูปหน้าเฟซตัวเอง

ภาพเดิมๆถ่ายไปที่โชคชัย ที่แม่เอาไปทำเสื้อสกรีน


นอกจากใช้เวลาเล่นวันละหลาย ช.ม นั้น
แม่ก็เน้นเอกลักษณ์เป็นคนอยากดังทางโซเชียลด้วยเอารูปหน้าเฟซส่วนตัว ซึ่งเป็นรูปตัวแม่พิงรถแทรกเตอร์ในรีสอร์ท แห่งหนึ่ง ประมาณนี้ ไปทำสกรีนเสื้อยืดไว้ และสวมใส่เสื้อยืดนี้ประจำถ้าจะออกไปข้างนอก เพื่อจะโปรโมทแบรนด์ตัวเอง
จะเอาเวลาเล่นขนาดนี้ที่ไหนว่ะ
-
แน่นอนอยู่แล้วถ้าจะเล่นหนักๆ ผู้คนสมาชิกในครอบครัวต้องเสียเปรียบ
เพราะแม่จะไม่ค่อยมีเวลาให้เค้า
เค้ามัวเอาเวลาลงทุนไปเล่นเฟซจนลูกๆ ต้องแย่งชิงกับเฟซเพื่อจะได้คุยกับแม่บ้าง
แม่คงแก้ตัวว่า เค้าใช้เฟซเป็นช่องทางทำมาหากิน เช่นขายเครื่องสำอาง ขายอาหาร ฯลฯ แต่บนพื้นที่นี้ แม่จะไปสู้กับพวก influencer และดาราที่ขายของพวกนี้ประจำตามเฟซได้ด้วยเหรอ ไม่น่าจะใช่ 
ค้าขายออนไลน์คงสู้กับการทำมาหากินแบบคนธรรมดาไม่ได้อยู่ดี
ในมุมมองผมการเล่นเฟซโดยหาคนมากดไลค์เยอะๆ ดูเหมือนเป็นวงจรปิดหรือเป็น echo chamber เลย สมมุติว่าแม่บอกว่า ฉันเก่ง
เสียงนั้นก็ไม่ทันกระจายออกที่ไหน แต่จะมีเสียงสะท้อนกลับมาว่า  ใช่แม่เก่งจริง' เพราะแฟนคลับเค้าต้องเห็นด้วยเหมือนหุ่นยนต์พูด
-
แต่ขอถามหน่อย
ถ้าแม่เก่งจริงทำไมลูกถึงเรียนจบไม่มีวุฒิการศึกษา
ถ้าเก่งจริงจะปล่อยให้ลูกติดยาได้ยังไง
ทำไมไม่ผลักตัวให้ลูกเค้าออกไปหางานทำบ้าง
แม่น่าจะรู้ความจริงว่าเค้าไม่เก่งหรอก 
ผมรู้จักครอบครัวๆ หนึ่งในซอยที่เก่งจริง
พ่อแม่เป็นคนทำงาน ไม่ไปเสียเวลาเล่นโซเชียลแต่ทำงานจริงๆ 
ลูกชายสองคนเป็นวัยรุ่นต่างเรียนดี ไม่เคยไปยุ่งกับยาเสพติดด้วย
เค้าเรียนพิเศษและทำกิจกรรมนอกโรงเรียนเกือบทุกวัน กลับบ้านดึกก็ยังทำการบ้านอีก
พ่อทำงานที่ท่าเรือ แม่ขายของ 
เค้าแยกทางไปแล้วโดยแม่ย้ายออกไปบ้านข้างนอกแต่เค้ายังโทรหาคุยกับลูกประจำ
พ่อกับลูกชายสองคน พักอาศัยอยู่กับญาติในซอยเป็นครอบครัวเล็กๆ และเพื่อนบ้านวุฒิ
บ้านไม่ห่างกันจากบ้านธีร์มาก แต่ลูกถูกเลี้ยงมาคนละรูปแบบกัน
ผมว่าครอบครัวนี้จะมีอนาคตรุ่งเรืองกว่า เพราะพ่อแม่เอาใจใส่ลูกและคุยกันรู้เรื่อง
รับหน้าที่เป็นเพื่อนลูก แต่พร้อมจะตีกรอบพฤติกรรมให้เค้าทำตามด้วย
พวกนี้แหละผมถือว่าเก่งจริง เพราะเค้ายอมรับว่าการเลี้ยงลูกต้องใช้เวลาและบางครั้งเป็นงานยาก แต่ไม่กลัวการลงมือทำและพร้อมที่จะสู้และเสียสละเพื่อลูกเสมอ
เค้าต้องเจอปัญหาบ้างเหมือนพ่อแม่ธรรมดา แต่ผมไม่เคยได้ยินคนในซอยพูดถึงตัวพ่อแม่หรือครอบครัวนี้ในแง่ลบ ไม่เหมือนแม่น้องธีร์ที่มีทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่เตือนผมประจำว่า 'อย่าไปยุ่งกับเค้า'เพราะแม่ชอบใส่อารมณ์กับคนอื่นฟรีๆ และเลี้ยงน้องไม่ดี
-
เราต้องผ่านไปหลายอาทิตก่อนที่ผมได้เจอแม่อีกที่
เราเจอเค้าที่หน้าซอกโต๊ะแปด นั่งตรอมใจคิดอยู่ร่วมกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคน
ผมขอโทษเค้าจากใจจริงเพราะรู้สึกผิดกับเหตุการณ์นั้น
'วันนั้นผมทำตัวเหี้ยจริงๆ ขอโทษนะแม่ ผมยังขอเป็นลูกสะใภ้แม่อย่างเหมือนเดิมผมบอกเค้า
แม่ยิ้มเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร หน้าแม่ดูเศร้าๆ เหมือนคนคิดหนัก
วันถัดไปแม่ปล่อยบล๊อคผมทางเฟซ แสดงว่าเค้าให้อภัยผมแล้ว
จากนั้นอีกไม่กี่วัน
แม่โพสข้อความที่แสดงว่าตอนนี้แกคิดมากจริงๆ โพสนั้นเกี่ยวกับน้องธีร์นั้นเอง

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (8)

แต่มึงกล้าทำก็ต้องกล้ารับด้วยนะจ๊ะ
บางคนอาจจะว่า ผมเสือกเรื่องชาวบ้าน แต่ผมเบื่อระอากับตัวแม่นี้แล้ว ที่ปล่อยละเลยลูกไปจนเค้าทำร้ายกับตัวเองและ (ตามที่เต๋าว่ายังต้องเจอทรมารตัวด้วย
ในช่วงนั้น ผมคิดแต่ว่า คงจะไม่มีใครดูแลน้องหรอกถ้าเราไม่ไปโวยวายเสียก่อน
แม่ไปฝากเค้าเอาไว้กับใครที่โน่นกันแน่  เราเห็นจากเน็ตว่า ราชบุรีมีสถานีบำบัดผู้ติดยาเสพติดเยอะพอสมควรแต่ไม่ค่อยมีใครให้บริการฟรีอย่างที่ไอ้เต๋าว่าไป
สถานที่บำบัดที่ให้บริการฟรี จะมีคุณภาพมีไหม
ผมโกรธจนพูดไม่ออก อยากบอกแม่ว่าผมเป็นห่วงลูกแต่พอเจอหน้าเค้าจริง ก็กลับพูดไม่ออกเกือบร้องให้แทน
แม่โมโหไม่แพ้กัน
'
ไมเคิลบุกบ้านแม่ได้ยังไง กูคิดอะไรอยู่ จะให้แม่เรียกตำรวจไหมแม่ท้าผมไป
แฟนเค้า เป็นทอมหน้าสวยตาโตเศร้าๆ เดินมาหาและพยายามปลอบใจ
'
ไม่เป็นอะไรเอาไว้คุยวันหลังก็ได้'
เมื่อผมพูดไม่ออก ผมต้องยอมใจถอยไปสักสองสามก้าวให้พ้นหน้าบ้าน
เสร็จแล้วแฟนแม่ลาผมไปแล้วก็ปิดประตูล๊อคไว้ไม่ไห้ผมป่วนอีก
เมื่อผมย้อนกลับไปนึกถึงดราม่านั้น ผมยังจำคำพูดสุดท้ายของแม่ก่อนเรื่องจบ ที่ฟังน่าตรึงใจจัง
เค้ายืนกลางห้องด้วยกับลูกตัวเล็กและแฟนทอมทั้งหมดสามคน แต่ดูเหมือนยืนเปลี่ยวเปล่าในโลกว้าเหว่คนเดียว ไม่มีใครช่วยหรือเข้าใจเค้าได้
'
แม่อยากอยู่คนเดียวเค้าขอด้วยอาการออดอ้อนและดูเหมือนอยากร้องไห้
เรารู้อยู่แล้วว่า แม่เป็นคน ไม่ชอบกังวล’ อย่างที่ธีร์เองเคยบอก
เค้าถึงปล่อยทิ้งปัญหาลูกจนบานปลาย
และทุกวันนี้ยังรู้สึกจนมุมอยู่เลย
ไม่รู้จะแก้ปัญหาลูกดื้อๆ ยังไงดีแล้ว
กระทั่งแกผลักเรื่องนี้ออกไปไกล ให้เป็นหน้าที่ของสถานบำบัดแล้ว
พอผมสะกิดใจให้แม่กลับไปนึกถึงเรื่องนี้โดยโพสเมสเซจนั้น แม่ก็เหมือนปรี๊ดแตกรีบบล๊อคผมเพราะอยากเลี่ยงเรื่องเจ็บๆ นี้ไป
ผมสงสารเค้าชั่ววูบหนึ่ง หายโกรธไปแล้วแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี
ผมกลับบ้านพร้อมกับรู้สึกผิดและช็อคกับนิสัยตัวเอง
ตั้งแต่ย้ายมาเมืองไทยผมไม่เคยน็อตหลุดใส่อารมณ์กับใครขนาดนั้น นอกจากกับแฟนตัวเอง
ผมรู้สึกอับอายจริง
ผมโชคดีที่แม่ไม่ได้ไปแจ้งความว่าผม (เกือบจะบุกบ้านเค้า
เค้าคงเข้าใจว่าผมเจตนาดี
เค้าน่าจะมีเวลาสิ้นหวังกับลูกเกือบบ้าไปแล้วเหมือนกัน
วันต่อมา ตามสไตล์ของแม่ที่ทำอะไรก็ต้องบันทึกไว้ให้แฟนคลับแกรับรู้ทางโซเชียล
เค้าลุกขึ้นไปว่าผมทางเฟซ (แต่ผมสมควรโดน)
เค้าเขียนว่า

‘#
เชื่อมั่ย ตอนนี้กูนี่จิตสับสนมากนะ  วันนึงดี วันนึงร้าย  วันๆนึงมีเรื่องให้คิดจนจะเป็นบ้า  บางวันนั่งกินข้าวอยุ่ดีๆก็มีคนบ้าเปิดประตูมาด่า

ต่อจากนั้นแม่ก็ไปโพสอีกว่า

‘#
มีคนบ้ามาเปิดประตูด่า
#
กูเชื่อว่างวดนี้กูจะถูกหวยรวยเป็นเศรษฐี อิเหี้ย



แต่พอมีผู้ฟอลโล่แม่ถามกลับว่า
 'ใครบ้า'
แม่ก็รักษาหน้าผมนิดหน่อยโดยตอบว่า 'คนที่ไหนไม่รู้'
ขอพักดราม่าในซอยนิดนึง หันไปพูดถึงบทบาทที่โซเชียลมีเดียจะเล่นในเรื่องราวนี้บทตอนท้าย
ผมกล่าวไปแล้วว่า แม่ชอบสร้างภาพทางเฟซว่าตัวเองเป็นคนเก่งและน่าสงสารในฐานะเป็นซิงเกิ้ลมัม
แต่ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้เล่นเน็ตเหมือนคนธรรมดานะ บางวันเค้าขึ้นโพสเป็นหลายๆรอบ
เป็นเซียนนักเล่นเฟซก็ว่าได้

now, see here

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม