Showing posts with label บ้านต่างประเทศ. Show all posts
Showing posts with label บ้านต่างประเทศ. Show all posts

Saturday, 23 September 2023

20plus club (5)

ห้องที่เรา​จัดงาน dinner​ กัน ผมนั่งคุยกับลูกสาวเพื่อนแม่ซู

สมัยนั้น คู่ครองที่อายุห่างกันมากๆเมื่
อเทียบกับเรา ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกตาในเมืองหัวโบราณอย่าง

Christchurch

เราเลือก Christchurch เป็นบ้านใหม่หลังจากพ่อได้งานเป็นครูใหญ่ ที่ รร ดัง แห่งหนึ่งนั้น

พวกเราบินมาจากเมืองซิดนีย์ ในเดือนเมษายน 1982

เมืองซิดนีย์สมัยนั้นเป็นเมืองใหญ่ที่มีชีวิตชีวาไม่ต่างกับทุกวันนี้

ถ้าจะเปรียบเทียบกัน Christchurch ดูเป็นคนละเรื่องเลย เมืองเล็กๆล้าสมัยที่ถูกอารยธรรมลืมทิ้งไปหลายศตวรรษที่แล้ว

เราแลก ซิดนีย์ มาเป็น Christchurch เพราะพ่ออยากให้อาชีพการงานก้าวหน้า

พร้อมทั้งพ่อแม่เคยพาเราไปเที่ยว New Zealand เมื่อสักปีก่อน และเกิดประทับใจกับความสวยงามของทิวทัศน์

เราถึงยอมเอาทองคำไปแลกกับดิน

แต่แลกไปแล้วจะทำอะไรดี

เอาจริงๆ สมัยนั้น New Zealand ดูไม่ต่างกับ North Korea ทุกวันนี้ ที่เค้าเรียกว่า the hermit kingdom

รัฐบาลมีผู้นำที่เป็นนายกรัฐมนตรีหัวโบราณชื่อ Robert Muldoon ชอบแทรกแซงทางเศรษฐกิจ

เอาภาษีประชาชนไปลงทุนทำโครงการขนาดใหญ่ทางอุตสาหกรรม

จัดการสวัสดิการที่เอื้อเฟื้อให้แก่ประชาชนเยอะมากเกิน

ควบคุมค่าจ้างแรงงานและราคาสินค้าไม่ให้ขึ้น

กีดกันทางการค้าระหว่างประเทศโดยตั้งกำแพงภาษีของนำเข้าให้สูง

 ผลพวงของนโยบายล่าช้าแบบนี้คือเศรษฐกิจจืดชืด

แค่เดินออกไปข้างนอกตอนเย็น เมื่อแสงพระอาทิตย์เริ่มจะสลัว เราจะเจอร้านค้าทั่วไปจะทยอยปิ

ดและไฟดับจนทั้งเมืองมืดมิดหลังสองทุ่ม!

ทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว

เชอวอนเป็นคนใหม่ที่ christchurch เหมือนกัน

เค้าพึ่งหย่ากับผัวเก่าหมาดๆ ที่อำเภอ Hawkes Bay ในภาคเหนือ

เค้ารู้สึกช็อกไม่น้อยกว่าผมที่เมือง Christchurch ซึ่งใหญ่กว่า Hawkes Bay นั้นยังดูล่าช้าเหลือเกิน

คู่รักที่อายุห่างกันอย่างเรา จะไปเจอคนที่เข้าใจสถานะแปลกๆแบบเราได้ยังไงเล่

กลุ่มเพื่อนๆของแฟนเรา ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเดียวกัน คือวัย 30-plus

ผมไปเจอเพื่อนๆของแฟนอยู่เรื่อยๆ แต่ผมมักจะนั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไรมาก เพราะรู้เลยว่าเรายังเป็นเด็กอยู่

ถ้าเราเปิดประเด็นสถานะที่แตกแย้งระหว่างผมและครอบครัวนั้นไป เพื่อนๆ กลุ่มนี้มีแนวโน้มจะเข้าข้างตัวเรา

ส่วนใหญ่เค้าก็นั่งฟังเฉยๆ ผงกศีรษะเห็นด้วย

ไม่ได้พูดมากเช่นกันเพราะยังเกรงใจความรู้สึกอ่อนแอของผม

ถ้ามีใครแอบเห็นใจกับฝ่ายพ่อแม่เราที่อ้างว่า เชอวอนขโมยช่วงวัยรุ่นผมออกไป เค้าคงเก็บตัวเงียบปากเอาไว้

แต่เชอวอนต้องเจอกรณียกเว้นคนหนึ่งเข้า

ผู้หญิงคนนี้ ชื่อ จูดี

เป็นแม่ที่มีฝีปากแรงกล้าดี ที่ส่งลูกไปเรียนที่ รร ที่พ่อเราทำงานอยู่ด้วย

พอรู้ข่าวว่าเชอวอนไปคบกับผม และโน้มน้าวให้ผมออกจากบ้านไปพักอาศัยกันที่ห้องข้างนอก

แม่จูดีฉุนเฉียว

เค้าชวนเชอวอนออกไปเที่ยวกัน และบอกเค้าตรงๆว่าเค้าเป็นคนเลว

'ฉันไม่เห็นด้วยกับแกเลย ที่เอาเด็กควงแขนกันไปทั่วเมือง เพื่อจะอวดฝีมือตัวเองว่า ฉันอายุป่านนี้แล้ว แต่ยังดึงดูดเด็กชายให้มาเป็นแฟนกันจนดูอิ่มเอิบได้'  จูดี้ว่าเค้า

'ฉันสงสารพ่อแม่ไมเคิลจัง ตั้งใจเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดี พอเจอตัวแกปุ๊บก็ดันถูกแกลากลูกเต้าหายไปจากชีวิตเค้าไปเลย

'แกปั่นหัวไมเคิลให้คิดสอดคล้องกับแกก็เห็นชัด และเล่นแง่ให้ครอบครัวเค้าจะแตกแยกกัน

'แกไม่มีลูกของตัวเอง แกคงไม่เข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่หรอก

'เรามีลูกอายุรุ่นราคราวเดียวกับตัวไมเคิล ถ้าแกกล้าบุกเข้าไปยึดคลุมชีวิตเค้าแบบนี้ พูดตรงๆแกจะโดนผัวฉันไล่ออกจากบ้านเราทันที

'ฉันไม่ยากรู้จักคนเลวอย่างแก ขอเลิกคบเลย' จูดี้พูดแทงใจดำแฟนเราและต่อจากนี้ก็เลิกคบจริงด้วย

โชคดี ในทางพลิกกลับกัน เชอวอพอจะมีเพื่อนอื่นที่ยังเข้าใจเราบ้าง

หนึ่งในนั้น เป็น ผู้หญิงใจกว้าง ชื่อซู

เป็นแม่ที่ส่งลูกชายไปเรียนที่ รร ที่พ่อเราทำงานเหมือนกัน

เค้าพร้อมจะเปิดใจรับเราเป็นเพื่อนเพิ่มสีสันเข้าไปในชีวิต

แม่ซูมีผัวและลูกสองคน

เค้าชอบเปิดบ้านรับเพื่อนที่แวะเวียนไปหาเค้านั่งกินกาแฟกันทั้งวัน

เมื่อไรที่ปัญหาทางครอบครัวผมจะหนักเข้า เรามักจะไปหาซูและระบายอารมย์ให้เค้ารับฟัง

ก็เรียกว่าเป็น safe house และกัน

ด้านงาน ซูเป็นหน่วยงานองค์กรสาธารณสุขที่ดูแลชาวบ้านระดับพื้นที่

ผัวเค้าชื่อ ไมค์ เป็นนักวิชาการที่มหาวิทยาลัย ที่เดียวกับที่ผมเรียนอยู่

เค้าอยู่ที่บ้านเก่าๆ ที่สร้างขึ้นมาใน ปี 1895 ในอำเภอร่ำรวยชื่อ Merivale

บ้านของนางซู ที่ Holly Road ธันวาคม 2019
ในช่วงฤดูร้อนเค้าชอบจัดงาน dinner ให้เพื่อนมานั่งร่วมสังสรรเฮฮากัน

เรามักจะไปช่วยเค้าจัดงานนั้น

เตรียมอาหารและจัดโต๊ะเสร็จ เราจะนั่งเป็นแขกร่วมด้วย

เห็นเรานั่งกินดินเนอร์กันในรูปข้างบนไหม

ผมนั่งคุยกับลูกสาวของเพื่อนซู อีกคนหนึ่ง ที่ยืนจับแก้วในด้านหลัง

ตอนแรกผมไม่กล้าพูดอะไรมากกับเพื่อนแฟนก็จริง

ผมขาดความมั่นใจตัวเอง

ถ้าผมเบื่อรับฟังผู้ใหญ่ที่โต๊ะบ้านซู ผมจะเอากีต้าร์ไปนั่งเล่นคนเดียวข้างนอก โดยหาจุดที่พระอาทิตย์ส่องแสงแดด

เราเปลี่ยนมุมหาที่รอบบ้านไปเรื่อย หาที่มีความอบอุ่นมากที่สุด

แต่เมื่อเวลาผ่านไป และผมโตขึ้น ผมก็มั่นใจตัวเองมากขึ้นด้วยจนคุยกับทุกคนได้แล้ว

เราเข้าสังคมกับ ไมค์และซู เป็นเวลา 15 ปี นานเท่ากับช่วงยาวนั้นที่เราคบเป็นแฟนนั้นเอง

พอลูกๆ ของเค้าโตแล้ว เค้าย้ายออกจากบ้านตามประสาฝรั่

จากนั้นไมค์และซูขายบ้านและใช้ชีวิตใหม่ที่บ้านคนชรา

ส่วนบ้านเก่าๆ สวยๆ นี้เราถือกันว่าเป็น second home สมัยนั้น ก็ถูกขายให้กับคนอื่นซะแล้ว

ในรูปนี้คือห้องที่เรา​ใช้จัดงาน dinner​ เมื่อหลายปีก่อนก็ปราศจากเฟอร์นิเจอร์แล้วเพราะเจ้าของกำลังขายบ้าน

เห็นรูปถัดลงมาในโพสต์มั้ย เป็นบ้านแม่ซูตอนธันวาคม 2019

มีมุมทั้งข้างนอก และ ข้างใน (ห้องที่เราเห็นปราศจากเฟอร์นิเจอร์แล้ว เป็นห้องเดียวที่เรานั่งกิน dinner กันในรูปแรกหลายปีก่อน)

ผมขาดการติดต่อกับไมค์และซูนานแล้ว

ไม่ได้คุยกันตั้งแต่ผมเลิกกับแฟนและบินไปเมืองไทย

เมื่อเราเลิกกันแล้ว เพื่อนเดิมๆ ของเชอวอน ที่รู้จักเค้าก่อนที่เราเริ่มคบกัน  ก็เลิกคบกับผมตามมาเช่นกัน

now, see here

20plus club (4)

The Christchurch Press อาคารถูกรื้อถอนหลังแผ่นดินไหว 2554 ทำให้เสียหาย

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อแม่เปลี่ยนตลอดไป

เค้าคงรู้สึกว่าผมปฏิเสธความรักจากเค้า

และเบือนหน้าไม่สนใจคำสั่งสอนอีกด้วย

เราต่อสู้กันในโหมดเอาหัวชนกำแพงไปอีกหลายปี

พ่อแม่พยายามดึงผมกลับไปที่อ้อมกอดเค้า แต่ผมกระด้างกระเดื่อง ยืนกรานว่าต้องคบกับเชอวอน ให้ได้

เค้าอยากให้ผมเจอสาวสวยรุ่นเดียวกัน วางแผนชีวิตและสร้างครอบครัวด้วยกันเหมือนที่คนธรรมดาเค้าทำกั

ผมดื้อรั้นไม่ยอมฟังจนครอบครัวแตกร้าวกัน

คุยกันเมื่อไรเราต้องทะเลาะกันทุกที

พ่อชอบสั่งสอนผมโดยเขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์

ผมได้รับ จม เค้าเมื่อไรผมจะทิ้งขว้างมันทันที เพราะเนื้อหามันฝังเจ็บลึกในใจ

ถ้าผมจำไม่ผิด เค้าเขียนในทำนองว่า

'ผมและแม่ผิดหวังมากกับการตัดสินใจของแก คิดตื้นๆแบบนี้อาจจะมีผลกระทบกับอนาคตอันไกลของแกด้วย ขอทบทวนอีกที'

ผมยอมรับเอง ผมเอาแต่ความสุขเข้าตัวเองตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่เจอความรักในชีวิต น่าเสียดายที่คู่รักของเราต้องเป็นคนที่พ่อแม่ไม่ชอบใจเอาเสียเลย

เชอวอนช่วยให้กำลังใจ ถ้าพ่อแม่วางเครื่องกีดขวางไว้ข้างหน้าพวกเรา เราต้องเอาชนะอุปสรรคนั้นไปให้ได้

เค้าทุ่มเทยิ่งขึ้นกับการสู้แทนเรา เพราะถึงยังไงเรารักกัน คนอื่นไม่เกี่ยว

ความสัมพันธ์ระหว่างผมและพ่อแม่พังทลายต่อเนื่องจนผมรู้สึกว่า เราต้องเลือกระหว่างแฟนและครอบครัวเสียแล้ว

ทุกอย่างขาดสะบั้นไม่เป็นชิ้นดี แต่รู้มั้ยว่า ผมไม่รู้สึกเสียดายมากนักหรอก เราเอาแต่สู้อย่างเดียว

ผมกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวก็จริง แต่มีน้อยครั้งที่ผมยอมรับว่า ชีวิตคู่กับเชอวอน ไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอก

จะว่าไปแล้ว เราไม่ค่อยมีตังค์ อีกทั้งตามเวลาที่ผ่านไป ผมชักจะเบื่อกับชีวิตคู่แล้วด้วย แต่ไม่ยอมบอกใคร

มีครั้งหนึ่งผมทะเลาะกับพ่อแม่อย่างแรง จนผมคว่ำบาตรเลิกคุยกับทั้งครอบครัว ทั้งพ่อแม่และน้องๆ ด้วยเป็นเวลา 6 เดือน

ผมไม่รับโทรศัพท์จากใครทั้งสิ้น

แม่ไปหาผมที่ออฟฟิศเพื่อจะหาทางเคลียร์ปัญหา แต่ผมไม่ยอมเจอเค้า

ผมฝากบอก รปภ ว่าถ้าแม่ผมมาหา ห้ามปล่อยให้เค้าเข้าประตูมาเลย

now, see here

Friday, 22 September 2023

20plus club (3)

 ผมและแฟนสมัยเพิ่งเริ่มคบกันแรกๆ
ขอย้อนฉากกลับไปที่ New Zealand หน่อย

ก่อนจะบินมาถึงเมืองไทย รอบที่สอง ปี 2000 นั้น

ผมปิดม่านชีวิตคู่กับแฟนผู้หญิง ชื่อ เชอวอน ที่คบหากันมานานกว่า 15 ปี

ความสัมพันธ์ของเราเริ่มตั้งแต่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ในปี 1984 ถ้าจำไม่ผิด

ตอนนั้นยังอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ไม่มีประสบการณ์กับผู้หญิงมาก่อน

และได้เจอเชอวอนที่งานเลี้ยงเปิดเทอมปีไหม่ที่พ่อแม่จัดขึ้น

เค้ามางานที่บ้านเรา
และเชอวอนได้ร่วมสังสรรค์ด้วยกันในฐานะเป็นพนักงานทั่วไปไม่ต่างกับคนอื่น

แต่เราดันไปสบตากัน พูดคุยทะเล้นๆ หรือจีบกันยังไงเลยไม่รู้ ถึงปิ๊งกันได้

เชอวอนทำงานที่หอพักของ รร ของพ่อเรานี่เอง

รับหน้าที่เป็นพยาบาลคอยเฝ้าดูแลเด็กนักเรียนกินนอนจาก ตวจ ที่นอนพักอยู่ในช่วงเปิดเทอม

ผมเรียนจบที่ รร เดียวกัน แต่ในปีก่อนนั้น

ไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อนเพราะผมเรียนที่ รร นั้นแค่ 18 เดือนก่อนจะจบการศึกษา
และเชอวอนเองเข้ารับตำแหน่งนี้ไม่นานเหมือนกัน

ที่จริงแล้วตอนที่เราเจอกันผมเข้าเรียนที่มหาลัยปี1แล้ว

แต่ขาดประสบการณ์ชีวิตและยังคิดเหมือนเด็กอยู่

ครอบครัวเราเพิ่งย้ายไปอาศัยอยู่ที่ New Zealand จากประเทศบ้านเกิด คือ
Australia ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน เมื่อ 18 เดือนก่อน

เนื่องจากเชอวอนยังทำงานให้พ่อนั้น พอเราเริ่มคบหาดูใจเป็นแฟนกัน
เราต้องเป็นอีแอบ ไปไหนมาไหนที่เราต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ตลอด

เพราะไม่อยากให้พ่อรับรู้ว่าลูกชายคนโตเค้าดันไปคบกับลูกจ้างเค้า ที่อายุแก่กว่าเราตั้ง
15 ปี

พ่อจำหน้าผู้หญิงคนนี้ได้ดี

พวกครูที่เค้าจ้าง ตามบุคลิกลักษณะดูออกเงียบเชย ไม่มีอะไรสะดุดตา

เทียบกันกับตัวเชอวอนไม่ได้ที่มีแสงแวววับดังดาวประกาย

เค้าชอบแต่งตัวฉูดฉาดพูดเสียงดัง เรียกความสนใจจากผู้ชาย

เราถึงสังเกตุเห็นตัวเค้าและชอบใจ

ตอนแรกเราลังเลใจนิดหน่อยเพราะรู้ว่าพ่อแม่ไม่น่าจะยอมใจให้คบกัน

แต่พอเราเริ่มรักกันผมมีความรูสึกว่าเราต้องเจอกันให้ได้

บ้านของพ่อแม่อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนที่พ่อทำงาน

แค่เดินผ่านโบสเล็กๆของ รร ที่ล้อมรอบไปด้วยสนามหญ้าข้ามสะพานที่ทอดล้ำลำน้ำแคบๆ เราจะถึงหัวใจของ รร แล้ว
รร. ที่พ่อเป็นหัวหน้า รูปปัจจุบัน ขอไม่เอ่ยเชื่อ

เดินต่อไป อีก 100 เมตรจะถึงหอพักของ รร ด้วย

เชอวอนและนักเรียนกินนอนก็อยู่ร่วมกันในตึกนี้แต่คนละที่กัน

เชอวอนพักอยู่ที่ห้องชั้นลอย ซึ่งยื่นออกเหนือจากห้องนอนของเด็กนักเรียน

เราทั้งคู่ชอบคบหากันแบบบ้าๆบอๆ สมัยเริ่มแรกที่รักกันนั้น

พอตอนมืดเข้าผมชอบแอบดอดไปหาเค้าที่ห้องพัก โดยเราต้องเดินหลบๆซ่อนๆ
ตัวตลอดเพราะกลัวว่าเด็กนักเรียนจะพบเห็นเข้า

ผมนอนแยกจากครอบครัวในแฟลตเล็กๆหลังบ้าน

บางคืนเชอวอนจะเล่นเสี่ยงเช่นกัน เดินหลบๆไปหาผมที่แฟลตนั้น
นั่งคุยกันสบายๆได้รู้จักกัน
(ผมไม่กล้าจับตัวเล่นเซ็กส์กับเค้าเป็นเวลาหลายเดือนเลย)

มีคืนหนึ่งที่พ่อเดินมาหาผมที่แฟลตโดยใช้ประตูข้างใน พอได้ยินพ่อเรียกชื่อผม

เชอวอนซึ่งพอดีแอบมาหาผมก่อน

ต้องวิ่งซ่อนตัวไว้ในห้องน้ำ และเก็บตัวเงียบๆ รอให้พ่อจะเดินกลับไปที่ตัวบ้าน

โชคดีที่ไม่ได้เจอกัน

ผ่านไป 6 เดือน

โป๊ะแตกเมื่อหัวหน้าหอพักของเชอวอนได้รู้ข่าวว่าเราแอบคบเป็นแฟนกัน

เค้ารีบไปแจ้งพ่อ

พ่อตกตะลึง ไม่เชื่อว่าลูกชายจะบ้าขนาดนั้น

พ่อแม่สงสัยว่าผมมีใจรักเพราะเห็นนิสัยเราเปลี่ยนไป
แต่ไม่เคยคิดว่าเราดันไปคบกับ ผู้หญิงอายุ 30-plus คนนี้

พ่อเรียก เชอวอน เข้าไปพบ และชวนเค้าให้ลาออกจาก รร ทันที
เพื่อจะช่วยรักษาชื่อเสียงของ รร

พ่อไม่อยากให้เรื่องเปิดโป้งแพร่หลาย เดี๋ยวจะกลายเป็น talk of the town

เชอวอนตกลงลาออกโดยไม่ได้รับค่าชดเชยอะไรมาก

แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นี้หรอก
เมื่อผมทำตัวทะลึ่งตั้งหน้าพาเค้าไปเจอพ่อแม่
เปิดตัวกันที่บ้านเราเป็นครั้งแรก

หัวใจเต้นแรงจนหน้าอกแถบจะแตก

ผมยืนยันว่าเรารักกันจริง และผมหมายหมั่นใจว่าจะย้ายออกจากบ้าน
และพาเชอวอนไปหาที่พักอยู่ร่วมกันข้างนอก

'เรายังรักกันและอยากคบกันต่อ เห็นด้วยหรือไม่ผมไม่แคร์' ผมกล้าพูดออกมา

พ่อแม่ตกตะลึงเป็นไก่ตาแตกซะอีก

'แกคิดผิดแล้ว แกพึ่งเริ่มต้นชีวิตจะไปอยู่กับ ผู้หญิง ที่แก่กว่า 15
ปีทำไม ไม่เอาคนรุ่นเดียวกันเหรอ แกยังเป็นเด็กอยู่และแทบไม่รู้จักกัน'
เค้าบอกผม

ผมยีนยันว่าจะคบกันต่อ

พ่อหันขวับไปหาเชอวอนแล้วถามว่า

'เอาลูกเราไปทำไม คุณจะให้อะไรกับเค้า อ้างว่ารักกันแต่ไม่มีงานทำ
คุณไปหาคนรุ่นเดียวกันไม่ได้เหรอ นิสัยคุณเท่ากับว่าคุณชอบกินเด็ก'

ผมจำไม่ได้ว่าเชอวอนตอบยังไงนอกจากว่า

'ไมเคิลเป็นคนใจดี'

นึกถึงแล้วมันฟังใจเสาะเหลือเกิน แต่ใครจะไปลงโทษเค้า ในสายตาพ่อแม่เค้าไม่มีจุดยืน

คุยกันเสร็จผมขอตัวเก็บเสื้อผ้าและเดินออกจากบ้านไปเลย

จากนี้เราต้องไปหาที่พักที่นอนด้วยกัน

เราได้เจอห้องพักแห่งหนึ่งในบ้านแบ่งซีก สภาพห้องก็สุดดูโทรมแต่ราคาถูกแต่อยู่ในใจกลางเมือง

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องเลี้ยงตัวเอง
เพราะเรากลับไปขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ไม่ได้แล้ว

เชอวอนหางานใหม่ให้ทำได้ทันที ไม่ยังนั้นเราคงไม่รอดแน่
เพราะผมยังเรียนอยู่ รายได้ยังน้อย

ตอนแรกเค้าได้งานแนวค้าขาย ได้เงินเดือนดี และเดินทางต่าง ตจว บ่อยด้วย

ต่อมาก็เปลี่ยนตัวเป็นผู้ช่วยหมอที่คลินิกท้องถิ่น

แต่ถึงแม้ว่าผมอัพสเตตัสตัวเองโดยได้มี ผู้หญิง ค่อยเลี้ยงแล้ว
แต่ชีวิตผมไม่ต่างจากนักศึกษาคนอื่นทั่วไปมากนัก

ผมยังต้องไปหางานทำหลายที่สารพัด เช่น ล้างจานที่ร้านอาหาร แบกของ ฯลฯ
เพื่อประทังชีวิตคู่ของเรา

เพราะตังค์ไม่พอใช้

สภาวะเงินทองของเราก็แย่ๆ แบบนี้ตลอดเกือบทั้ง 15 ปีที่เราคบกันมา

พอเราเริ่มคบกันจริงๆ เชอวอนบอกว่าจะไม่รับงาน full-time แล้ว

เค้าชอบเป็น lady of leisure มากกว่า

เงินเดือนถึงจะน้อย

แทนที่จะเป็น sugar mummy จริงเค้ากลายเป็นน้ำหนักที่เราต้องแบกรับไว้เอง

หลังเรียนมาหาลัยจบ ผมเริ่มทำงานเป็นนักข่าวแล้ว
แต่ประสบการณ์งานยังน้อยอยู่เลย เงินเดือนก็ต่ำเหมือนกัน

now, see here

20plus club (2)

รถติดที่สยามสแควร์สมัยเพิ่งแรกมา
เดือนสิงหาคม ปี 2000

ผมบินออกจากประเทศบ้านเก่าที่เคยพักอาศัยอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์

มาสู่เมืองไทยเพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

หลังทิ้งงานเก่า เลิกกับแฟนแก่

ลาก่อนครอบครัว และหวังว่า ไอ้โรคซึมเศร้าที่กวนประสาทหัวผมหลายปีจะหายไปด้วย

ผมบินมาจาก Christchurch

ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินที่ กทม หลังจากมาเที่ยวครั้งแรกไม่กี่เดือนก่อนหน้า

โดยไม่รู้ว่าจะมีที่พักหลับนอนที่ไทยไปอีกนานเท่าไร เพราะไม่ได้วางแผนอะไร
และยังไม่ได้เรียกประเทศไหนว่า home ให้แน่ชัด

รู้แต่ว่าเรารักเมืองไทยตั้งแต่มาเที่ยวสามเดือนก่อนหน้านั้น

ผมและเพื่อนรุ่นน้อง ชื่อ  ริชาร์ด พากันมาเที่ยวเมืองไทยด้วยกัน

ริชาร์ดพึ่งเรียนจบที่เมือง Christchurch

เค้าจบปริญญานิติศาสตร์ พอดีผมพึ่งเลิกทำงานเป็นนักข่าวที่ the
Christchurch Press พร้อมกันในเดือนเมษายน

และไม่รู้จะไปไหนต่อดี

น้องเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ part-time ที่ออฟฟิศผม

เมื่อริชาร์ดได้รู้ว่าผมกำลังลาออก เค้าชวนผมไปเที่ยวเมืองไทยเป็นเพื่อนด้วยกัน

'เที่ยวเสร็จผมจะหางานทำที่ลอนดอนต่อ' น้องบอกเราแบบนี้

เราไปเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆอยู่ทั้งที่ กทม และ ภูเก็ต ในเดือนเมษายน

พอถึง ภูเก็ต ริชาร์ดได้บทเรียนชีวิตไทยๆ เมื่อเค้าได้เจอกะเทยแสบๆ
ที่ขโมยเงินเค้าและวิ่งหนีไป เป็นหลายหมื่นบาทเลย

'ผมคิดว่าเค้าเป็น ผู้หญิง ธรรมดา และพาเค้าไปนอน
เมื่อผมได้จับว่าที่จริงแล้วเค้าเป็นผู้ชายที่ยังไม่ได้แปลงเพศ
ผมก็ช็อกและร้องตะโกนออกมา
ท่ามกลางความชุลมุนนั้นน้องกะเทยฉกเงินผมและวิ่งหนี้ไป' น้องบอกผม

แม่ริชาร์ดต้องโอนเงินมาเพิ่มให้เค้า พร้อมกำชับให้เค้าระวังตัวให้มากขึ้นด้วย

'ฉันเลี้ยงเค้าคนเดียว ไม่ค่อยมีตังค์ แม่บอกผมทางโทรศัพท์ด้วยใจเหนื่อยล้า

ต่อมาพอถึงเวลาแยกทางกัน น้องริชาร์ดบินไปที่อังกฤษต่อ
ส่วนผมก็บินกลับไปที่ประเทศบ้านเก่าที่เคยพักอาศัยอยู่เตรียมตัวหางานทำใหม่

แต่หลังจากได้ลิ้มรสชาติชีวิตที่เมืองไทยในการไปเที่ยวสองอาทิตย์ก่อน
ผมรู้สึกกระสับกระส่าย ประทับใจเมืองไทยจนไม่อยากอยู่ที่ นิวซีแลนด์ อีกแล้ว

ชีวิตฝรั่งดูจืดชืดเหลือเกิน

ผมเลยมุ่งหน้าไปหางานทำที่ กทม แทน โดยเขียนไปถึง นสพ แห่งหนึ่งที่ กทม

เราได้เห็น นสพ ฉบับนี้ขายอยู่ตอนไปเที่ยว

ผมสอบถามดูว่าเค้ามีงานว่างให้ทำบ้างมั้ย

เพื่อจะได้กลับไปเมืองไทย และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั้น

เค้ารับผมโดยทันทีเลย

ต่อมาฉันบินกลับไปที่ กทม อีกที ตอนเดือนสิงหาคม

ครั้งนี้ ผมมาคนเดียว ไม่มีเพื่อนติดไปด้วย

now, see here

Thursday, 21 September 2023

20plus club (1)

เสารถไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์ยุค 2000s
รูปนี้ถ่ายไปที่ถนนราชดำริ ช่วงที่กำลังสร้างสถานีรถไฟฟ้า ปี พ.ศ. 2541

ฝรั่งที่ย้ายมาจากประเทศบ้านเกิด บินมาปักหลักที่เมืองไทย ยาวเกินกว่า 20 ปี อย่างผม

น่าจะรับรางวัล long-stayer's award

โดยเฉพาะพวกขยันขันแข็ง ที่สร้างตัวด้วยมือเปล่า

อาจจะมีเจ้านายไทยจ้างมาทำงาน แต่ไม่มีต้นทุนนอกจากเรี่ยวแรงตัวเอง

วันที่มาถึง อาจจะยังไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน ไม่มีที่พัก มีแต่ความหวังว่า
คงจะเจออนาคตสดใส

ผมเป็นหนึ่งคนในกลุ่มนั้น

ย้ายจาก New Zealand มาตั้ง 23ปี ที่แล้ว
แต่ยังรอรับรับรางวัลที่น่าจะเรียกว่า 20-plus club award อยู่เลย

ใครจะจัดให้

-
ผมชอบจะดูดซึมซับวิถีแห่งชีวิตของชาวไทยจนถ้าเราต้องกลับไปที่โน่นแล้ว
เราคงจะปรับตัวเองเข้ากับคนที่บ้านเกิดยาก

ช่วงเวลานานนี้ที่ผมอาศัยอยู่ที่ไทย  ตัวเราเอง
และประเทศบ้านเราดันมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ จนแทบจำหน้ากันไม่ได้แล้ว

เจอฝรั่งหน้าใหม่ๆ ที่เพิ่งย้ายมาพักที่นี่ เราจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย

เรายืนอยู่ในจุดที่ต่างกัน

เค้าเริ่มเดินทางของเค้า หลังออกจากบ้านอีกไม่นาน

แต่ผมเหยียบย่างเข้าพื้นแผ่นดินไทยก้าวแรกมาเนินนานมากแล้ว และไม่ค่อยอยากนึกถึงอดีต

ฝรั่งหน้าใหม่นั้น คงมีทั้งครอบครัว ญาติ และเพื่อน รออยู่เพื่อที่จะกลับไปที่นั้น

เค้าต้องถามตัวเอง ว่ายอมใจทิ้งสละทุกอย่างมั้ย เพื่อจะสร้างตัวที่อื่นไหม

และถ้าไม่อยากโยนทิ้งทั้งหมด จะเลือกเก็บส่วนไหนที่ดีเอาไว้

เพราะยิ่งอยู่ห่างจากบ้านนานๆ
ความผูกพันของเราที่มีต่อประเทศบ้านเกิดจะยิงจืดจางลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา

อดีตของฝรั่งหน้าใหม่ๆนั้น ส่วนใหญ่จะยังติตอยู่ในใจของเขานั้นเอง

เค้ายังไม่ได้ขุดรากฐานมาปลูกถ่ายที่ไทยทั้งหมดหรอก

เค้าอาจจะรู้สึกลังเลใจ จะทุ่มเทใจกับชีวิตนี้ไหม หรือไม่

ร่างกายเค้าอาจจะอยู่กับเราจริงแต่ใจคงยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก

ถ้าไม่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่จริง คือสร้างตัวจากจุดศูนย์ อย่างที่พวกเราเคยทำ

เค้าอาจจะเลือกกลับบ้านเกิดไปก่อน

อนาคตของเค้าจะรุ่งเรืองมากกว่าถ้าเค้ายังอยู่กับครอบครัว วัฒนธรรม
และลีลาชีวิตที่เค้ารู้จักและเข้าใจมั้ง

ส่วนพวกเราที่เป็นสมาชิก club 20-plus นั้น

ยิ่งห่างจากประเทศบ้านเกิด ก็ยิ่งรู้สึกว่า
เราทิ้งอดีตของเราที่บ้านเก่าเรียบร้อยแล้ว
และไม่ยากกลับไปรื้อร่องรอยของมันด้วย

เราเลือกลงทุนทุกอย่าง ทั้งแรงกายและแรงใจ ที่นี่

ถ้ากลับไปที่บ้านเก่า อย่างน้อยเราจะต้องเริ่มต้นใหม่ อายุเริ่มแก่ขึ้นซะแล้วด้วยสิ จะยังไหวมั้ยละ

เราต้องเตือนใจคนใหม่ๆไว้ก่อนอย่างนี้

ถ้าไม่กลับไปหาครอบครัว ญาติๆ หรือเพื่อนเก่า บ่อยๆ
สักวันเราจะรู้สึกห่างเหินกันแน่นอน

ความจำจะเลือนลางและความรู้สึกที่ดีจะหายไปจนกระทั่งเราจะเกิดขี้เกียจไม่อยากขึ้นเครื่องแล้

เอาไหม ขอบอกอีกด้วย

ถ้าประเทศเราเปลี่ยนแปลง เราต้องเปลี่ยนตามไปด้วยถูกมั้ย

แต่ถ้า 'ประเทศของเรา' กลายเป็นประเทศไทยแทนประเทศบ้านจริง ละก็

เราต้องทำตัวเหมือนกิ่งก่าที่เปลี่ยนสีไปตามพื้นที่ ที่มันอาศัยอยู่เหมือนกันนั้นเอง

พื้นที่ประเทศไทยหรือพื้นที่ประเทศบ้านเกิดยังไงก็ยังเป็นพื้นที่ที่พักอาศัยได้อยู่ดี

คือในฐานะตัวเราถือว่าเมืองไทยกลายเป็นบ้านใหม่ของเราเสียแล้ว
เราต้องยอมให้ประสบการณ์ที่เราเจอกันที่นี่ หล่อหลอมตัวเราเป็นหลัก
ถ้าตั้งใจรักเมืองไทยจริงๆ

เหมือนคนที่เปลี่ยนแปลงความภักดีต่อประเทศเลย

พอถึงวันนั้น เราจะมีเหลือต่อประเทศบ้านเกิดแค่ความทรงจำหรือว่าญาติๆ ที่ยังไม่ลืมตัวเราไป

ส่วนฝรั่งหน้าใหม่นั้น เราคงเข้าใจเค้าในระดับหนึ่ง

ที่ว่า ถ้าเราให้เค้าบอกเล่าว่า ชีวิตที่ประเทศบ้านเกิดของเรา
เปลี่ยนไปยังไงในช่วงเวลา 23 ปีนี้ที่เราไม่อยู่

เค้าคงพูดไม่ออก

เช่นเดียวกับผม

ถ้าเค้าถามว่าชีวิตในเมืองไทยของเราเป็นยังไงเราคงต้องคิดยาว จะเริ่มต้นยังไงดีเนอะ

เพราะเราและประเทศไทยของเราต่างเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากตั้งแต่มาเมื่อ 23 ปีที่แล้ว

ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเจ็บคอ

-
ฝรั่งที่เป็นสมาชิก 20-plus club เลือกปักหลักเมืองไทยด้วยเหตุผลหลากหลาย

บ้างก็หยากหนีสภาพอากาศมืดมนที่ประเทศบ้านเกิดเค้า มาที่ไทยซึ่งแดดออกแรงเกือบทั้งวัน

เช่นชาวอังกฤษที่ชอบบ่นว่าที่บ้านเกิดฝนตกไม่หยุด

บ้างก็ไม่มีงานทำที่ประเทศบ้านเกิด หรือมาเที่ยวไทยแต่ดันไปทำ ผู้หญิงไทย
ท้องและอยากรับผิดชอบ

เลยย้ายมาที่นี่สร้างครอบครัวกั

ส๋วนผม ผมหนีทั้งแฟนเก่าที่นอกใจ ครอบครัวที่ชอบเสือกเรื่องส่วนตัว
และงานที่ผมทำไปแล้วที่ประเทศบ้านเกิดหลายปีจนเบื่อ

now, see here

Saturday, 20 August 2022

เถ้ากระดูกเดินทางไกล (13, final)

น้องชายเรากับอาดีดเมียโทนี่
 สำหรับ นาย Stewart ผู้ที่กระทำผิดต่อน้องชายเรา
ทางศาลเห็นด้วยว่า นาย Stewart ทำร้ายกับเด็ก 7 คนทั้งหมดรวมถึงน้องเราด้วย ตามที่อัยการฟ้อง
แต่เนื่องจากว่า ชาวบ้านแถวบ้านเค้า ดันไปยุ่งกับคดี นาย Stewart โดยขึ้นป้ายประกาศว่าเค้าชอบทำร้ายเด็ก และนำพาให้นาย Stewart มีความอับอายเกิดขึ้น
ผู้พิพากษาอ้างว่า นาย stewart โดนสังคมประนามพอแล้ว เลยสั่งให้จำเลยไม่ต้องติดคุก
เค้าถูกลงโทษเป็นจำคุกโดยรอการลงอาญา 2ปี แทน
น้องชายเราโกรธเมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้
แต่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว เราได้ยินข่าวเสริมว่า ทางรัฐขับไล่นาย stewart ออกจากประเทศเรียบร้อยแล้ว
ในฐานะเค้าถูกตัดสินลงโทษเป็น child abuser (ถึงไม่ต้องติดคุกก็ตาม)
เค้าถูกเนรเทศกลับไปที่ประเทศเกิดคือ นิวซีแลนด์ นั้นเอง
-
ส่วนโทนี่ อดีตเมียน้องชายเรา เราเห็นจากเฟซเค้าว่า โทนี่คิดว่าน้องเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวเองตาย
เป็นผลที่มาจากการโดนทำร้ายสมัยตอนเป็นเด็ก
ซึ่งอาจจะมีหลายคนคิดเช่นนี้เพราะน้องยังอายุน้อย ตอนเสียชวิต อายุแค่ 44 ปีเอง
อย่างที่รู้กันอยู่ สภาวะฆ่าตัวเองตาย มีความอัปยศทางสังคม
ฝรั่งมักจะคิดว่า คนที่ตัดสินฆ่าตัวเองตาย เป็นพวกขี้แพ้ ไม่ยอมสู้
ผมไม่อยากให้ลูกๆ ของน้องคิดแบบนี้ถ้าคิดถึงพ่อเค้าหรอก
น้องของเราสู้เป็นใจนักเลงจะตาย
หลังจากเค้าเลิกกับเมีย
เดวิดใช้เวลา 18 เดือนก่อนจากไปนั้น
วางแผนเริ่มชีวิตใหม่
เดวิดซื้อรถแพงๆ สองคัน ขายบ้านลงทุนสองหลัง มูลค้ารวม $1.4 ล้าน แล้วก็มุ่งมั่นใช้ frequent flier points เพื่อไม่ให้อดีตเมียได้เรียกแต้มนี้คืนในการแย่งสมบัติสินสมรส
(ผมได้รับผลประโยชน์จากการ burn แต้มน้องด้วย เมื่อน้องไปเที่ยว สิงคโปร์และ ไทย สองเดือนก่อนจะเสียชีวิต และแวะมาหาผมที่ กทม ด้วย)
นี้คือนิสัยขี้แพ้เหรอ
ไม่ใช่เลย
แต่ผมกลัวว่าลูกๆน้องคงไม่รู้ความจริง
และตราบใดที่โทนี่ไม่ให้ครอบครัวได้เจอกัน
คงจะหมกมุ่นคิดผิดว่า น้องตกเป็นเหยื่ออย่างเดียว
โทนี่เรี่ยไรเงินบริจาคให้องค์กรป้องกันการฆ่าตัวเองตาย
โทนี่จะไม่มีวันรับผิดหลอกว่า การกระทำที่แย่ๆของเค้าเอง พาน้องไปเจออันตรายจนถึงขีดจนเสียชี
วิต
เพราะฉะนั้นเค้าต้องอ้างว่า เดวิดเสียชีวิตด้วยมือตัวเอง เป็นการฆ่าตัวเองตายเท่านั้น
เหมือนตัวเค้าเองที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งไม่จริงเลย
โทนี่ยังกลัวว่าความจริงจะถูกเปิดโปงออกมา เลยกั้นไม่ให้เราเจอกัน
เราเห็นสันดานเค้าได้ชัดเลย
-
ตอนนี้ เถ้ากระดูกน้องถูกแบ่งแยกคนละที่กันระหว่าง
อยู่ที่อดีตเมียเค้าที่ออสซี่ และ ที่ครอบครัวเรา
ในเวลาต่อไปจะมีโอกาสให้เดวิดกลับมารวมเป็นร่างเดียวกันอีกมั้ย
ก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลาผ่านไป ตอนนี้เรายังไม่เข้าใจกัน
แต่สักวันหนึ่ง รอยร้าวระหว่างครอบครัวเราอาจจะสมานติดกันบ้างก็ได้
รุ่นหลังๆ จะลองใจพูดคุยกันในวันข้างหน้ามั้ย โดยผู้ใหญ่ไม่รับรู้
เราจะลุ้นกันตรงนี้
กว่าวันนั้นจะมาถึง
ผมขอเฝ้าดูโกศอัฐิของน้องเราที่ผมวางเค้าไว้ในมุมหนึ่งของห้องนอนเราละกัน
และขอให้น้องเราเฝ้าดูผมเช่นกัน

โพส์ตเด่น

Mr Handsome returns

Mr Handsome เป็นผู้ชายไทยเกย์หนุ่มที่ เคยเขียนโพสต์ให้บล็อก Bangkok of the Mind หรือ BOTM2 (เป็นรุ่นพี่ของบล็อกฉบับนี้) เป็ นประจำหลายปีก่อน...

โพส์ตนิยม