Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts
Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts

Monday 18 November 2019

job at the 7-11, back to rehab (12)

ธีร์กับกับเด็กผู้บำบัดตัวอีก ยิ้มแย้มแจ่มใส
โพสนี้เป็นครั้งแรกที่แม่เปิดเผยชื่อสถานบำบัดตัวน้องด้วย ก็คือบ้านพึ่งสุขนั้นเอง
เว็บ บ้านพึ่งสุข อธิบายวีธีการและขั้นตอนที่ทางเค้าจัดไว้ให้ผู้เข้ามาเป็นสมาชิกอย่างน้อง ภายใต้โมเดล TC นั้นในรายละเอียดดี
-
ก่อนที่เล่าเรื่องราวน้องต่อ ผมจะอธิบายระบบ TC หน่อยว่าเค้ามักจะเจออะไรบ้าง
โดยลอกหลักการกระบวนการจากเว็บเพจ ๆ หนึ่งเป็นภาษาอังกฤษก่อนเพราะเค้าจำกัดความไว้แน่นหนาดี

Therapeutic community is a participative, group-based approach to long-term mental illness, personality disorders and drug addiction. Those seeking rehabilitation from drug addiction live and work side-by-side with other recovering addicts, group leaders and staff for extended time periods. During that time, participants learn to abide by the rules and discipline of the group. By adapting to the level of proper and moral behavior demanded by the group, addicts gain back some of the life skills that are generally lost to addiction.

ตามมาเป็นภาษาไทย TC ผู้เป็นสมาชิกต้องเข้าชุมชนทดลอง โดยพักอยู่ด้วยกันเป็นหลายเดือนและอยู่ภายใต้การดูแลของทีมผู้คุม ซึ่งสถาบันนั้นจะกลายเป็นบ้านชั่วคราวที่แตกแยกออกจากสังคมจริง โดยผู้เป็นสมาชิกไม่ค่อยได้รับสิทธิ์ออกไปข้างนอก หรือรับข่าวจากสังคมเข้ามาด้วย

บ้านพักที่  บ้านพึ่งสุข  
น้องๆ ต้องช่วยกันทำงานและจัดกิจกรรมเหมือนคนปกติในสังคมข้างนอก เพื่อจะเรียนรู้ว่าเค้าชอบเล่นยาทำไม และเริ่มสร้างงานฝีไม้ลายมือในการดูแลตัวเอง และเรียนรู้การรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
ตามหลักการแบบสั้นๆ น้องๆ ต้อง 

1. เลิกยาได้
2. เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต (Lifestyle)
3.
 กำจัดพฤติกรรมต่อต้านสังคม
4.
 รู้จักทำงาน
5. 
มีทัศนคติที่ดีต่อสังคม และเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (11)

ธีร์ยืนอยู่ด้วยกับผู้รับการบำบัดคนอื่น
รูปนี้ เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นหน้าธีร์ตั้งแต่เค้าไปรักษาตัว เมื่อเกือบสองเดือนก่อน
น้องยืนใกล้ชิดกับเพื่อนหนุ่มๆ ใส่หน้าไม่รับแขกเลย (เป็นรูปเดียวกันที่ธีร์จับคู่กับแม่ เจอกันที่นี่นะครับ)
มีหลายคนตอบโพสแม่ไปว่า หน้าธีร์ดูโหดๆ
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว เค้าคงไม่แฮปปี้ที่ถูกกักตัวไว้ที่โน่นยาวนานโดยไม่มีโอกาสได้กลับเยี่ยมบ้าน
แม่เขียนแคปชั่นว่า
‘แววตาเอ็งร้ายได้ใคร หายป่วยไวๆ แม่สร้างโจทย์ไว้เยอะ  มึงอย่ายิ้มน๊า 55555’
-
เราแอบส่องเฟซแม่ไปเรื่อยถึงรู้ว่าในช่วงเดือนสิงหา เค้าเริ่มมีปัญหากับแฟนทอม
แม่แอบย้อนกลับไปลบทิ้งทุกโพสที่เกี่ยวกับทอมคนนี้
ซึ่งคงต้องใช้เวลาหน่อยเพราะสาวทั้งคู่นี้ ติดโซเชียลหนักไม่แพ้กัน เค้าโพสถึงกันตลอด
หลังจากทอมหายไปจากชีวิตแม่เป็นสักพักแล้ว
แม่เปลี่ยนข้อความที่หน้าเฟซ (สเตตัสตัวเองให้บอกว่า
ขอพบเจอแต่ความดี ไม่มีทุกข์
แม่บอก.. คิดใหม่ทำใหม่
รักใครไม่ได้อีกแล้วจะมีแค่ บี กับ พี่ธีร์
คือถ้าไม่มีแฟน จะมีเวลาว่างให้ลูกมากขึ้น
-
เวลาเลยไปถึง วันที่ 10 กันยา ก่อนแม่จะเขียนถึงธีร์อีกครั้ง
เมื่อแกเปิดเผยว่า ลูกรักษาตัวภายใต้โมเดลชื่อดังๆ ที่เค้าเรียกว่า ทีซี (TC - therapeutic community)
แม่เขียน
ระบบ TC ผู้บำบัด เดือดจริง
สงสารลูกนะแต่ต้องอดทน
ครั้งนี้ก็ไม่มีรูปประกอบ
แต่โพสนี้ เป็นครั้งแรกที่แกเปิดเผยรายละเอียดที่เกี่ยวกับแนวทางการบำบัดตัวของลูก 
สำหรับพวกเราที่เป็นห่วงน้อง ก็ถือว่าเป็นข่าวดี
ลูกโดนการบำบัดตัวแบบเดือดๆที่โน่นอะไรไม่รู้ แม่ไม่ได้อธิบาย
แต่ผมดีใจที่ได้รับข่าวนี้ เพราะโมเดล TC เน้นให้ผู้รับบำบัด ได้รู้จักความรับผิดชอบตัวเองและต่อสังคมด้วย
ซึ่งเป็นสิ่งที่น้องขาดไปในชีวิตและไม่มีใครสอนที่บ้านด้วย
แนวทางการบำบัดนี้คิดค้นและพัฒนาด้วยนักจิตแพทย์ฝรั่ง ชื่อ Maxwell Jones ซึ่งนำมาใช้กระบวนการนี้ครั้งแรกหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อรักษาจิตใจทหารผ่านศึก ที่ประเทศอังกฤษ และ อเมริกาด้วย
เมื่อได้เห็นผลดีต่อผู้ป่วยทางจิตพวกนี้
สถานบำบัดทั่วโลกหยิบเอาวีธิการรักษาแนวนี้ ไปใช้กับผู้ป่วยหรือผู้ติดยาทั่วไป เพื่อจะช่วยเค้ากลับไปสู้สังคมอีกที
ตลอดจนทุกวันนี้โมเดลการบำบัดตัว TC ยังได้รับกระแสนิยมดีอยู่ทั่วไป

ผู้คิดค้น Maxwell Jones
จากนั้น ในวันที่ เดือนตุลา
แม่โพสรูปน้องจากที่โน่นอีก
ผิดไปจากรูปที่แล้วที่น้องดูหน้าดุๆ
ครั้งนี้น้องกลับยิ้มแย้มแจ่มใสดี จนแม่ประทับใจเขียนว่า
‘55555 #สไลท์ดูกลุ่มบ้านพึ่งสุข 
ตกใจ  เธอยิ้มเก่ง กับ 4 เดือนผ่านไป

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (10)

แกโพสเหมือนไม่เอาธีร์เป็นลูกเสียแล้ว เอาแต่ลูกคนเล็ก
แม่ประกาศว่า
ใช้ความคิดคนเดียวเหนื่อยนะ
คนนึงเรียน คนนึงป่วย
มีลูกที่ดี ไม่ป่วย
มันก็ดีที่สุดแล้ว ได้คน เสียคน ชีวิต 35ปี ทนได้งัย
อ่านแล้วผมไม่พอใจอีก แม่จะทิ้งลูกตัวเองได้เหรอ สำหรับลูกตัวเล็กแม่มีแต่คำชม สำหรับตัวโต ไอ้ธีร์นั้น ก็ฟังเหมือนแม่ไม่อยากรู้จักแล้ว ครั้งนี้ผมไม่ได้พูดอะไรกับแม่หรอก แต่ระบายให้เพื่อนน้องฟัง คือน้องต้นนั้นเอง  ผมเขียนว่า:
'เค้าคิดหนักมั้ง จะไม่มีวันหรอกที่พ่อแม่ฝรั่งจิตปกติจะพูดถึงลูกตัวเองในแง่ลบแบบว่า ได้คนหนึ่งเสียคนหนึ่ง แล้วผมไม่รู้ว่าคำว่า ป่วย หมายถึงอะไร ถ้าธีร์เป็นโรคซึมเศร้าก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ รักษาได้อยู่
แต่ธีร์อาจจะมีอาการหนักกว่านั้นก็ได้ แม่ถึงจะซึมเศร้าขนาดนี้ พวกเราจะไม่รู้หรอกเพราะไม่ได้เจอเค้าเป็นนาน เราเจอตัวแม่เมื่อวันก่อน เค้านั่งเงียบไม่คุยกับใครเหมือนคนคิดมาก
แต่เป็นยังไงก็ช่าง แม่ต้องสู้เพื่อลูกอยู่ดี ไม่ใช่ปล่อยทิ้งแม่งไปเลยอย่างที่ทำไปเหมือนเมื่อก่อน
แม่ดูเหมือนสงสารตัวเองมากเกินไป'
น้องต้นเห็นด้วยกับผมและตอบว่า
'สงสารธีร์จริง'
แม่อาจจะเครียดเรื่องเงินที่ไปคิดว่าอยากลืมทิ้งลูกไปแบบนี้
ในช่วงต้นเดือนมิถุนาแม่โพสถึงค่าใช่จ่ายที่บ้าน
สรุปแล้วเค้าเป็นหนี้สูง
ผมรู้จากธีร์ก่อนหน้านี้ว่า แม่มีพี่สาวที่ค่อยเจือจุนช่วยครอบครัวด้วยทรัพย์สินเงินทอง
ผมไม่รู้ว่าพี่สาวนี้จะช่วยมากน้อยแค่ไหน
แต่รายการค่าใช้จ่ายที่แม่เผยให้ดูค่อนข้างสูง
แม่เขียนว่า:
คุณอายุ 35  คุณมีอะไร
มีหนี้สามแสน
ลูกป่วยเดือน 15,000
คนเล็ก 11,000 ดอกรายเดือน รายวัน บราๆ
จะไปต่อ  รึพอ  ก็คิดเอา

ข้อนั้นที่พูดถึงว่าลูกป่วย หมายถึงธีร์ และแสดงว่าแม่ออกค่ารักษาน้อง เดือนละ 15,000 บาท (ธีร์ไม่ได้รับการบำบัดตัวฟรีดังที่ไอ้เต๋าบอกกันวันนั้น เค้าไม่รู้อะไรเลย)
ส่วนที่แม่ทิ้งท้ายว่า จะไปต่อหรือพอ นั้น
ถ้าอยากเลิกเป็นแม่ ลูกจะทำยังไงนะจ๊ะ
แม่คงรู้เองว่าแกต้องทำหน้าที่การเป็นแม่ต่อไปนั้นเอง
ในช่วงนี้ผมยังตามรอยโซเชียลแม่ไปเรื่อยเพราะเราไม่มีข้อมูลจากคนอื่นที่บ่งบอกว่าาธีร์เป็นยังไง
ผมสนใจเฉพาะโพสที่เกี่ยวกับน้องนั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ต้องทนไว้อย่างเดียว
ครั้งต่อไปที่แม่พูดถึงธีร์ ก็เป็นในวาระวันเกิดเค้า วันที่ 20 กรกฏา
แม่โพสขึ้นรูปลูกสมัยเด็กน่ารักๆของเค้าให้ผู้ฟอลโล่ดู
พร้อมกับรูปปัจจุบันของน้องที่สถานบำบัดที่จังหวัดราชบุรี
ที่มีคนถ่ายไว้
ผมไม่แนใจว่าแม่ไปหาเค้ารึป่าว เพราะตัวแกไม่ได้ปรากฏกับลูกในรูปนั้น

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (9)


แม่น้องอวดเสื่อยืดที่ทำสกรีนรูปหน้าเฟซตัวเอง

ภาพเดิมๆถ่ายไปที่โชคชัย ที่แม่เอาไปทำเสื้อสกรีน


นอกจากใช้เวลาเล่นวันละหลาย ช.ม นั้น
แม่ก็เน้นเอกลักษณ์เป็นคนอยากดังทางโซเชียลด้วยเอารูปหน้าเฟซส่วนตัว ซึ่งเป็นรูปตัวแม่พิงรถแทรกเตอร์ในรีสอร์ท แห่งหนึ่ง ประมาณนี้ ไปทำสกรีนเสื้อยืดไว้ และสวมใส่เสื้อยืดนี้ประจำถ้าจะออกไปข้างนอก เพื่อจะโปรโมทแบรนด์ตัวเอง
จะเอาเวลาเล่นขนาดนี้ที่ไหนว่ะ
-
แน่นอนอยู่แล้วถ้าจะเล่นหนักๆ ผู้คนสมาชิกในครอบครัวต้องเสียเปรียบ
เพราะแม่จะไม่ค่อยมีเวลาให้เค้า
เค้ามัวเอาเวลาลงทุนไปเล่นเฟซจนลูกๆ ต้องแย่งชิงกับเฟซเพื่อจะได้คุยกับแม่บ้าง
แม่คงแก้ตัวว่า เค้าใช้เฟซเป็นช่องทางทำมาหากิน เช่นขายเครื่องสำอาง ขายอาหาร ฯลฯ แต่บนพื้นที่นี้ แม่จะไปสู้กับพวก influencer และดาราที่ขายของพวกนี้ประจำตามเฟซได้ด้วยเหรอ ไม่น่าจะใช่ 
ค้าขายออนไลน์คงสู้กับการทำมาหากินแบบคนธรรมดาไม่ได้อยู่ดี
ในมุมมองผมการเล่นเฟซโดยหาคนมากดไลค์เยอะๆ ดูเหมือนเป็นวงจรปิดหรือเป็น echo chamber เลย สมมุติว่าแม่บอกว่า ฉันเก่ง
เสียงนั้นก็ไม่ทันกระจายออกที่ไหน แต่จะมีเสียงสะท้อนกลับมาว่า  ใช่แม่เก่งจริง' เพราะแฟนคลับเค้าต้องเห็นด้วยเหมือนหุ่นยนต์พูด
-
แต่ขอถามหน่อย
ถ้าแม่เก่งจริงทำไมลูกถึงเรียนจบไม่มีวุฒิการศึกษา
ถ้าเก่งจริงจะปล่อยให้ลูกติดยาได้ยังไง
ทำไมไม่ผลักตัวให้ลูกเค้าออกไปหางานทำบ้าง
แม่น่าจะรู้ความจริงว่าเค้าไม่เก่งหรอก 
ผมรู้จักครอบครัวๆ หนึ่งในซอยที่เก่งจริง
พ่อแม่เป็นคนทำงาน ไม่ไปเสียเวลาเล่นโซเชียลแต่ทำงานจริงๆ 
ลูกชายสองคนเป็นวัยรุ่นต่างเรียนดี ไม่เคยไปยุ่งกับยาเสพติดด้วย
เค้าเรียนพิเศษและทำกิจกรรมนอกโรงเรียนเกือบทุกวัน กลับบ้านดึกก็ยังทำการบ้านอีก
พ่อทำงานที่ท่าเรือ แม่ขายของ 
เค้าแยกทางไปแล้วโดยแม่ย้ายออกไปบ้านข้างนอกแต่เค้ายังโทรหาคุยกับลูกประจำ
พ่อกับลูกชายสองคน พักอาศัยอยู่กับญาติในซอยเป็นครอบครัวเล็กๆ และเพื่อนบ้านวุฒิ
บ้านไม่ห่างกันจากบ้านธีร์มาก แต่ลูกถูกเลี้ยงมาคนละรูปแบบกัน
ผมว่าครอบครัวนี้จะมีอนาคตรุ่งเรืองกว่า เพราะพ่อแม่เอาใจใส่ลูกและคุยกันรู้เรื่อง
รับหน้าที่เป็นเพื่อนลูก แต่พร้อมจะตีกรอบพฤติกรรมให้เค้าทำตามด้วย
พวกนี้แหละผมถือว่าเก่งจริง เพราะเค้ายอมรับว่าการเลี้ยงลูกต้องใช้เวลาและบางครั้งเป็นงานยาก แต่ไม่กลัวการลงมือทำและพร้อมที่จะสู้และเสียสละเพื่อลูกเสมอ
เค้าต้องเจอปัญหาบ้างเหมือนพ่อแม่ธรรมดา แต่ผมไม่เคยได้ยินคนในซอยพูดถึงตัวพ่อแม่หรือครอบครัวนี้ในแง่ลบ ไม่เหมือนแม่น้องธีร์ที่มีทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่เตือนผมประจำว่า 'อย่าไปยุ่งกับเค้า'เพราะแม่ชอบใส่อารมณ์กับคนอื่นฟรีๆ และเลี้ยงน้องไม่ดี
-
เราต้องผ่านไปหลายอาทิตก่อนที่ผมได้เจอแม่อีกที่
เราเจอเค้าที่หน้าซอกโต๊ะแปด นั่งตรอมใจคิดอยู่ร่วมกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคน
ผมขอโทษเค้าจากใจจริงเพราะรู้สึกผิดกับเหตุการณ์นั้น
'วันนั้นผมทำตัวเหี้ยจริงๆ ขอโทษนะแม่ ผมยังขอเป็นลูกสะใภ้แม่อย่างเหมือนเดิมผมบอกเค้า
แม่ยิ้มเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร หน้าแม่ดูเศร้าๆ เหมือนคนคิดหนัก
วันถัดไปแม่ปล่อยบล๊อคผมทางเฟซ แสดงว่าเค้าให้อภัยผมแล้ว
จากนั้นอีกไม่กี่วัน
แม่โพสข้อความที่แสดงว่าตอนนี้แกคิดมากจริงๆ โพสนั้นเกี่ยวกับน้องธีร์นั้นเอง

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (8)

แต่มึงกล้าทำก็ต้องกล้ารับด้วยนะจ๊ะ
บางคนอาจจะว่า ผมเสือกเรื่องชาวบ้าน แต่ผมเบื่อระอากับตัวแม่นี้แล้ว ที่ปล่อยละเลยลูกไปจนเค้าทำร้ายกับตัวเองและ (ตามที่เต๋าว่ายังต้องเจอทรมารตัวด้วย
ในช่วงนั้น ผมคิดแต่ว่า คงจะไม่มีใครดูแลน้องหรอกถ้าเราไม่ไปโวยวายเสียก่อน
แม่ไปฝากเค้าเอาไว้กับใครที่โน่นกันแน่  เราเห็นจากเน็ตว่า ราชบุรีมีสถานีบำบัดผู้ติดยาเสพติดเยอะพอสมควรแต่ไม่ค่อยมีใครให้บริการฟรีอย่างที่ไอ้เต๋าว่าไป
สถานที่บำบัดที่ให้บริการฟรี จะมีคุณภาพมีไหม
ผมโกรธจนพูดไม่ออก อยากบอกแม่ว่าผมเป็นห่วงลูกแต่พอเจอหน้าเค้าจริง ก็กลับพูดไม่ออกเกือบร้องให้แทน
แม่โมโหไม่แพ้กัน
'
ไมเคิลบุกบ้านแม่ได้ยังไง กูคิดอะไรอยู่ จะให้แม่เรียกตำรวจไหมแม่ท้าผมไป
แฟนเค้า เป็นทอมหน้าสวยตาโตเศร้าๆ เดินมาหาและพยายามปลอบใจ
'
ไม่เป็นอะไรเอาไว้คุยวันหลังก็ได้'
เมื่อผมพูดไม่ออก ผมต้องยอมใจถอยไปสักสองสามก้าวให้พ้นหน้าบ้าน
เสร็จแล้วแฟนแม่ลาผมไปแล้วก็ปิดประตูล๊อคไว้ไม่ไห้ผมป่วนอีก
เมื่อผมย้อนกลับไปนึกถึงดราม่านั้น ผมยังจำคำพูดสุดท้ายของแม่ก่อนเรื่องจบ ที่ฟังน่าตรึงใจจัง
เค้ายืนกลางห้องด้วยกับลูกตัวเล็กและแฟนทอมทั้งหมดสามคน แต่ดูเหมือนยืนเปลี่ยวเปล่าในโลกว้าเหว่คนเดียว ไม่มีใครช่วยหรือเข้าใจเค้าได้
'
แม่อยากอยู่คนเดียวเค้าขอด้วยอาการออดอ้อนและดูเหมือนอยากร้องไห้
เรารู้อยู่แล้วว่า แม่เป็นคน ไม่ชอบกังวล’ อย่างที่ธีร์เองเคยบอก
เค้าถึงปล่อยทิ้งปัญหาลูกจนบานปลาย
และทุกวันนี้ยังรู้สึกจนมุมอยู่เลย
ไม่รู้จะแก้ปัญหาลูกดื้อๆ ยังไงดีแล้ว
กระทั่งแกผลักเรื่องนี้ออกไปไกล ให้เป็นหน้าที่ของสถานบำบัดแล้ว
พอผมสะกิดใจให้แม่กลับไปนึกถึงเรื่องนี้โดยโพสเมสเซจนั้น แม่ก็เหมือนปรี๊ดแตกรีบบล๊อคผมเพราะอยากเลี่ยงเรื่องเจ็บๆ นี้ไป
ผมสงสารเค้าชั่ววูบหนึ่ง หายโกรธไปแล้วแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี
ผมกลับบ้านพร้อมกับรู้สึกผิดและช็อคกับนิสัยตัวเอง
ตั้งแต่ย้ายมาเมืองไทยผมไม่เคยน็อตหลุดใส่อารมณ์กับใครขนาดนั้น นอกจากกับแฟนตัวเอง
ผมรู้สึกอับอายจริง
ผมโชคดีที่แม่ไม่ได้ไปแจ้งความว่าผม (เกือบจะบุกบ้านเค้า
เค้าคงเข้าใจว่าผมเจตนาดี
เค้าน่าจะมีเวลาสิ้นหวังกับลูกเกือบบ้าไปแล้วเหมือนกัน
วันต่อมา ตามสไตล์ของแม่ที่ทำอะไรก็ต้องบันทึกไว้ให้แฟนคลับแกรับรู้ทางโซเชียล
เค้าลุกขึ้นไปว่าผมทางเฟซ (แต่ผมสมควรโดน)
เค้าเขียนว่า

‘#
เชื่อมั่ย ตอนนี้กูนี่จิตสับสนมากนะ  วันนึงดี วันนึงร้าย  วันๆนึงมีเรื่องให้คิดจนจะเป็นบ้า  บางวันนั่งกินข้าวอยุ่ดีๆก็มีคนบ้าเปิดประตูมาด่า

ต่อจากนั้นแม่ก็ไปโพสอีกว่า

‘#
มีคนบ้ามาเปิดประตูด่า
#
กูเชื่อว่างวดนี้กูจะถูกหวยรวยเป็นเศรษฐี อิเหี้ย



แต่พอมีผู้ฟอลโล่แม่ถามกลับว่า
 'ใครบ้า'
แม่ก็รักษาหน้าผมนิดหน่อยโดยตอบว่า 'คนที่ไหนไม่รู้'
ขอพักดราม่าในซอยนิดนึง หันไปพูดถึงบทบาทที่โซเชียลมีเดียจะเล่นในเรื่องราวนี้บทตอนท้าย
ผมกล่าวไปแล้วว่า แม่ชอบสร้างภาพทางเฟซว่าตัวเองเป็นคนเก่งและน่าสงสารในฐานะเป็นซิงเกิ้ลมัม
แต่ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้เล่นเน็ตเหมือนคนธรรมดานะ บางวันเค้าขึ้นโพสเป็นหลายๆรอบ
เป็นเซียนนักเล่นเฟซก็ว่าได้

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (7)

ผมตัดสินใจว่าจะเขียนคำอธิบายให้แม่
เพราะผมเป็นห่วงน้องจริง
ผมใช้เวลาเขียนคำอธิบายเป็นหลายวัน
เขียนเนื้อความเสร็จผมโพสขึ้นเฟซแม่
เมื่อส่งไปแล้วผมรอลุ้นให้เค้าตอบ
ผมรู้ว่า เค้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจที่ผมเสือกพูดถึงเรื่องลูกอยู่บนเฟซเค้า
แม่ใช้พื้นที่ไปขายของและสร้างภาพตัวเองให้ดูดี เค้าคงไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับลูกเลย
ก่อนหน้านี้ผมก็บล๊อคเค้าทางไลน์ และแม่ก็บล๊อคผมทางเมสเซนเจอร์กลับ ผมเลยไม่รู้จะคุยกันยังไงดี
แต่ผมยังหวังว่าเค้าจะเห็นใจความรู้สึกผม และเข้าใจว่าผมมีเจตนาดี
เนื้อความเมสเสจดังกล่าวเป็นอย่างนี้ (ผมจะสรุปเอาสั้นๆหน่อยเพราะเวอร์ชั่นเดิมยาวไปนิดหนึ่ง)

ร้านที่ผมเขียนแมสเสจถึงแม่
สวัสดีคับแม่
ผมเห็นโพสนี้เป็นหลายวัน ไม่แน่ใจว่าแม่หมายถึงผมด้วยรึป่าว
ไม่รู้จะตอบยังไงดีด้วยเพราะไม่ค่อยได้เล่นเฟซ
ที่แม่บอกว่าผม 'เป็นฝ่ายเริ่มก่อน'
ก็น่าจะใช่ ผมชอบใช้อารมณ์ก่อนคิด
ถ้าผมรู้ว่าลูกจะกลับไปเล่นอีก ผมคงจะรักษาคำพูดให้ดีกว่านี้
ผมไม่ได้โกรธแม่หรอก ผิดหวังมากกว่าที่เรายังคุยกันไม่ได้ทุกวันนี้
ผมขอให้กำลังใจทั้งแม่กับลูกนะครับ
ไม่อยากคิดว่าน้องต้องสู้คนเดียวที่โน่น
ผมพยายามคุยกับเค้า เพื่อจะเรียกสติน้องกลับไปอยู่กับพวกเราบ้าง
แต่ตอนนี้เราคุยกันปกติไม่ค่อยได้ เราชอบทะเลาะกันมากกว่า
แต่ผมบอกเค้าว่า ผมจะไม่ยอมแพ้ จะสู้กับปัญหานี้และช่วยเค้าจนอาการน้องดีขึ้น
เจอกันวันล่าสุด ผมถามเค้าว่า 'สมองนี้ยังใช้ได้อยู่รึป่าว' (ผมถามถึงตัวเค้าเอง ไม่ใช่สมองผม)
'
ใช้ได้อยู่น้องตอบอย่างหนักแน่น
ก่อนที่จะไล่ผมออกไปไกลๆ ตัว
ผมด่ามันกลับ (เราเริ่มเป็นดาราเล่นละครน้ำเน่าเสียแล้ว)
ผมรู้ดีว่าโรคซึมเศร้าเป็นยังไงเพราะเคยเป็น
เราคงรับมือกับอาการนี้ด้วยคนเดียวไม่ได้
โทษทีถ้าผมพูดถึงเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย รู้มั้ยว่าเมื่อแม่ทิ้งน้องคนเดียวที่บ้าน สภาพน้องเสื่อมลงมาก
เวลาแม่กลับมาอาการเค้าดูดีขึ้น เพราะแม่จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เค้าคิด
เราต้องอยู่ใกล้ชิดกับตัวเค้าตอนนี้
ถ้าผมยังช่วยแม่ได้...ติดต่อผมได้นะคับ รับรองไม่กวน
บายๆ ก่อนนะคับ
ผมมีเจตนาดี และหวังว่าจะได้รับการตอบรับดีด้วย
แต่แม่กลับไม่ชอบ
ผมโพสขึ้นเฟซแม่ไม่กี่นาที แม่จะบล็อคผมเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้พูดอะไรเลย
ผมแม่งเจอโชคร้ายอีกแล้ว
แต่ด้วยที่ว่า ผมใช้เวลานานมากที่ไปเขียนเรื่องนี้ เมื่อโดนบล๊อคไป ผมเกิดโมโหมากจนระงับอารมณ์อยู่ไม่ไหว
ผมนั่งอยู่ที่ร้านใกล้ออฟฟิซคนละฝั่งกับซอยอมร พอโดนบล๊อคก็รีบปั่นจักรยานวิ่งไปยังบ้านแม่เหมือนคนบ้า
พอไปถึงหน้าบ้านแล้วผมไม่ได้เคาะประตูแบบสุภาพ แต่ดันไปเปิดประตูแรงปั้งเลยโดยไม่แคร์ว่าคนข้างในจะว่ายังไง
ข้างในบ้านผมเห็นแม่ แฟนเค้า และลูกตัวเล็กนั่งกินข้าวกันอยู่
'
มึงบล๊อคผมได้ยังไงผมตะโกนจากหน้าประตูบ้านใส่แม่ ไม่กล้าก้าวไปข้างในบ้านหรอกแต่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ไม่รู้จะระบายความเครียดยังไงดี เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมคุย
ผมลืมตัวเองจริงๆจนทุกวันนี้จำไม่ค่อยได้ว่าเราพูดอะไรไปในสองสามนาทีนั้น ที่เราทำตัวบ้าๆบอๆ
น้อง บี วิ่งหนีหาที่หลบเมื่อผมเริ่มร้องตะกอนใส่แม่เค้า ทั้งแม่กับแฟนตาโตตกใจ
แต่ผมแอบสังเกตุว่า สองสาวตัวดีนี้ดูเหมือนว่า เค้าพึ่งร่วมหัวกันวางแผนทำร้ายกับความรู้สึกผม ที่บล๊อคผมไป
เค้าคงภูมิใจกับฝีมือแย่ๆของตัวมันเอง และไม่ได้นึกสักนิดว่า ผมจะกล้าไปหามันที่บ้าน

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (6)

เพราะแม่ต้องเจอลูกบ้าง เห็นสภาพจิตก็น่าจะรู้แล้วว่าเค้าติดยา
การพาไปบำบัดตัวครั้งนี้ แม่มีเพื่อนช่วย
หนุ่มคนนี้ ชื่อวัด เคยเล่นยาเมื่อก่อนเหมือนกัน อาสาสมัครพาน้องไปบำบัดตัวที่จังหวัดราชบุรี
 วัดเคยไปรักษาตัวเองที่สถานบำบัดแห่งนั้น เมื่อไม่กี่เดือนก่อน และแนะนำให้น้องไปด้วย
ผมไม่รู้จักวัดส่วนตัว แต่เมื่อไม่นานนี้เอง ก็มักจะเห็นเค้าเดินมุ่งไปหาพวกเล่นยาที่ซอกโต๊ะแปดนั้นเกือบทุกคืน เป็นแหล่งเล่นยาแถวบ้านเรา ที่น้องธีร์ชอบไปนั่งเล่นด้วย
วัดมีลูกชายตัวเล็ก ที่ชอบตัวติดพ่อไปที่โน่นประจำ พอวัดทำธุระที่โน่นเสร็จเค้าจะเดินกลับไปด้วยกับลูก
ลูกเค้าเป็นเด็กที่มีไหวพริบดี  (ผมเล่นกับเค้าบ่อยที่หน้าบ้านวุฒิ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางกลับกับพ่อเค้าน่าจะรู้ว่าพ่อกำลังทำอะไรกับพวกมัน
ช่วงเวลานั้นก็น่าจะเป็นช่วงก่อนที่วัดไปบำบัดตัว
ในเวลาต่อมา หลังจากน้องเข้าบำบัดตัวที่ราชบุรีเรียบร้อยแล้ว ผมได้รู้จากเพื่อนว่า วัดแวะไปสอนธีร์ที่โน่นด้วย ว่าจะเลิกเล่นยายังไงดี และปรับตัวเป็นคนดีในสังคม
แม่กับธีร์ไปช็อปปิ้งกัน แม่โพสต์ไปในช่วงนั้นที่น้องถูกพาไปรับการบำบัดตัวรอบที่สอง โดยไม่ได้บอกผู้ติดตามเฟซเค้าว่า ที่จริงแล้ววันนั้นน้องเข้าบำบัดตัว เป็นรูปเก่า สภาพน้องแย่มากตอนนั้น (เหมาะกับการไปรักษาตัว ไม่ใช่ไปช็อปปิ้งหรอก แม่อยากนึกถึงเวลาดีๆมากกว่าละมั้ง ถึงเลือกโพสต์รูปหลอกคน)
สภาพตัวน้องจริงๆก่อนไปรักษาตัว
ตอนแรกพวกเรา ไม่ได้รู้เรื่องหรอกว่า แม่พาเค้าไปบำบัดตัวอีกครั้ง เพราะแม่ไม่ได้บอกใครในกลุ่มเพื่อนเค้า และน้องเองไม่มีโอกาสไปลาใครทั้งๆที่เราคงไม่ได้เจอกันอีกนาน
เวลาต้องผ่านไปหลายวันก่อนที่พวกเราสังเกตุเห็นว่าน้องไม่อยู่
เพื่อนบ้านและเพื่อนสมัยเด็กธีร์ คือน้องต้นนั้นเอง ยังไม่รู้เลยว่าธีร์ไปแล้ว
สุดท้ายผมได้ข่าวว่าน้องไปบำบัดตัวจากหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อเต๋า ที่รู้จักพวกเพื่อนแม่ร่วมถึงหนุ่ม วัด ด้วย
วันนั้นผมนั่งกินเหล้ากับเต๋า ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านวุฒิ
เค้าเล่าให้ฟังว่าคุณวัด ซึ่งเป็นเพื่อนแม่ธีร์ พาน้องไปบำบัดตัวเมื่อสองสามวันก่อน
เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้รับรู้ว่าเค้าไปรักษาตัว
เต๋าเล่าต่อว่า 
'คลีนิกบำบัดตัวนี้ให้บริการฟรี แต่เค้าทำโหดๆ แบบหักดิบ หมอไม่ได้ให้ยาช่วยคนเลิกยาหรอก ผู้ป่วยจะถูกล่ามโซ่ติดเสาไปเลยจนไม่มีอาการติดยาแล้วเค้าว่าไป
เต๋าเล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้พูดกวนหรือแกล้งให้ผู้ฟังสะเทือนใจหรอก (มั้ง...ผมมารู้ทีหลังว่าไอ้เต๋าพูดเพี้ยนและไขว้เขวเกือบทั้งเรื่องเลย) แต่ผมก็ยังตกใจและคิดมากอยู่ดี
ผมได้ไปดูแลน้องเหมือนเป็นลูกหลานเรา พอได้ยินข่าวที่ว่าน้องถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาทิ้งไปอย่างนั้น
ผมรู้สึกแย่
ไม่อยากคิดว่าเค้าจะโดนทุกข์ทรมารขนาดนี้
พอเลิกคุยกันผมแอบเดินไปที่หน้าบ้านแม่ แล้วก็ฝากคุณลุงเพื่อนบ้านเค้า ให้บอกแม่ว่า ผมอยากไปเยี่ยมน้อง เมื่อไรสะดวกขอพาผมไปหาลูกที่โน่นหน่อย
คุณลุงคงได้บอกแม่นั้นแหละ เพราะในวันถัดไปช่วงเช้า ผมเดินเข้าซอยและได้เห็นแม่คุยกับผู้ใหญ่ในศูนย์กลางชุมชนพอดี
แต่เมื่อแม่เห็นผมกำลังเดินไปหาปุ๊บ แม่วิ่งหนีออกไป จนผมตามไม่ทัน
เค้าวิ่งเข้าซอกแคบๆ ข้างๆตึก แล้วก็หันกลับไปมองดูว่า ผมกำลังเดินทันตัวเค้ามั้ย ก่อนโดดขึ้นแท็กซี่แล่นออกไปตามถนนพระราม 3
เรามีปัญหากันก่อนหน้านี้จริงและไม่ได้คุยเป็นเวลานานแล้วด้วย
แต่ผมคิดว่าเรื่องของลูกคงสำคัญมากกว่า ผมรู้สึกเสียดายที่เรายังคุยกันไม่ได้
ตอนเย็นๆวันเดียวกันเค้าขึ้นโพสเฟซในทำนองประชดผมว่า
ถ้ากูใจร้ายใส่ใคร
โปรดจงรู้ไว้
กูไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน
เค้าไม่ได้เอ่ยชื่อผม แต่เป้าหมายน่าจะเป็นผมนั้นแหละ
ซึ่งโพสนี้บ่งบอกว่าแม่คงรู้สึกผิดที่หนีผมไปนิดหนึ่ง
แต่อยากแสดงความไม่สบายใจมากกว่าที่เรายังบาดหมางใจกัน
ผมต้องอธิบายนิดนึงว่าแม่ใช้เวลาเยอะมากกับการเล่นโซเซียลจนเป็นชีวิตจิตใจเค้า
เค้ารู้กติกาการเล่นดี คืออยากติเตียนหรือต่อว่าใครไป ไม่ต้องระบุชื่อเค้าก็ได้ คนที่เป็นเป้าหมายการโจมตีนั้นคงจะรู้เอง
เพราะฉะนั้นจะมีแต่คนโง่ๆอย่างฉันเท่านั้นที่จะเอาเรื่องแค่นี้ไปคิด แต่ฉันเอาไปคิดจริง
แม่รู้อยู่แล้วว่าผมสนิทกับลูกเค้าแล้วทุกวันนี้ยังเป็นห่วงอยู่ จะแกล้งผมทำไม

now, see here

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม