Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts
Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts

Monday 18 November 2019

job at the 7-11, back to rehab (11)

ธีร์ยืนอยู่ด้วยกับผู้รับการบำบัดคนอื่น
รูปนี้ เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นหน้าธีร์ตั้งแต่เค้าไปรักษาตัว เมื่อเกือบสองเดือนก่อน
น้องยืนใกล้ชิดกับเพื่อนหนุ่มๆ ใส่หน้าไม่รับแขกเลย (เป็นรูปเดียวกันที่ธีร์จับคู่กับแม่ เจอกันที่นี่นะครับ)
มีหลายคนตอบโพสแม่ไปว่า หน้าธีร์ดูโหดๆ
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว เค้าคงไม่แฮปปี้ที่ถูกกักตัวไว้ที่โน่นยาวนานโดยไม่มีโอกาสได้กลับเยี่ยมบ้าน
แม่เขียนแคปชั่นว่า
‘แววตาเอ็งร้ายได้ใคร หายป่วยไวๆ แม่สร้างโจทย์ไว้เยอะ  มึงอย่ายิ้มน๊า 55555’
-
เราแอบส่องเฟซแม่ไปเรื่อยถึงรู้ว่าในช่วงเดือนสิงหา เค้าเริ่มมีปัญหากับแฟนทอม
แม่แอบย้อนกลับไปลบทิ้งทุกโพสที่เกี่ยวกับทอมคนนี้
ซึ่งคงต้องใช้เวลาหน่อยเพราะสาวทั้งคู่นี้ ติดโซเชียลหนักไม่แพ้กัน เค้าโพสถึงกันตลอด
หลังจากทอมหายไปจากชีวิตแม่เป็นสักพักแล้ว
แม่เปลี่ยนข้อความที่หน้าเฟซ (สเตตัสตัวเองให้บอกว่า
ขอพบเจอแต่ความดี ไม่มีทุกข์
แม่บอก.. คิดใหม่ทำใหม่
รักใครไม่ได้อีกแล้วจะมีแค่ บี กับ พี่ธีร์
คือถ้าไม่มีแฟน จะมีเวลาว่างให้ลูกมากขึ้น
-
เวลาเลยไปถึง วันที่ 10 กันยา ก่อนแม่จะเขียนถึงธีร์อีกครั้ง
เมื่อแกเปิดเผยว่า ลูกรักษาตัวภายใต้โมเดลชื่อดังๆ ที่เค้าเรียกว่า ทีซี (TC - therapeutic community)
แม่เขียน
ระบบ TC ผู้บำบัด เดือดจริง
สงสารลูกนะแต่ต้องอดทน
ครั้งนี้ก็ไม่มีรูปประกอบ
แต่โพสนี้ เป็นครั้งแรกที่แกเปิดเผยรายละเอียดที่เกี่ยวกับแนวทางการบำบัดตัวของลูก 
สำหรับพวกเราที่เป็นห่วงน้อง ก็ถือว่าเป็นข่าวดี
ลูกโดนการบำบัดตัวแบบเดือดๆที่โน่นอะไรไม่รู้ แม่ไม่ได้อธิบาย
แต่ผมดีใจที่ได้รับข่าวนี้ เพราะโมเดล TC เน้นให้ผู้รับบำบัด ได้รู้จักความรับผิดชอบตัวเองและต่อสังคมด้วย
ซึ่งเป็นสิ่งที่น้องขาดไปในชีวิตและไม่มีใครสอนที่บ้านด้วย
แนวทางการบำบัดนี้คิดค้นและพัฒนาด้วยนักจิตแพทย์ฝรั่ง ชื่อ Maxwell Jones ซึ่งนำมาใช้กระบวนการนี้ครั้งแรกหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อรักษาจิตใจทหารผ่านศึก ที่ประเทศอังกฤษ และ อเมริกาด้วย
เมื่อได้เห็นผลดีต่อผู้ป่วยทางจิตพวกนี้
สถานบำบัดทั่วโลกหยิบเอาวีธิการรักษาแนวนี้ ไปใช้กับผู้ป่วยหรือผู้ติดยาทั่วไป เพื่อจะช่วยเค้ากลับไปสู้สังคมอีกที
ตลอดจนทุกวันนี้โมเดลการบำบัดตัว TC ยังได้รับกระแสนิยมดีอยู่ทั่วไป

ผู้คิดค้น Maxwell Jones
จากนั้น ในวันที่ เดือนตุลา
แม่โพสรูปน้องจากที่โน่นอีก
ผิดไปจากรูปที่แล้วที่น้องดูหน้าดุๆ
ครั้งนี้น้องกลับยิ้มแย้มแจ่มใสดี จนแม่ประทับใจเขียนว่า
‘55555 #สไลท์ดูกลุ่มบ้านพึ่งสุข 
ตกใจ  เธอยิ้มเก่ง กับ 4 เดือนผ่านไป

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (10)

แกโพสเหมือนไม่เอาธีร์เป็นลูกเสียแล้ว เอาแต่ลูกคนเล็ก
แม่ประกาศว่า
ใช้ความคิดคนเดียวเหนื่อยนะ
คนนึงเรียน คนนึงป่วย
มีลูกที่ดี ไม่ป่วย
มันก็ดีที่สุดแล้ว ได้คน เสียคน ชีวิต 35ปี ทนได้งัย
อ่านแล้วผมไม่พอใจอีก แม่จะทิ้งลูกตัวเองได้เหรอ สำหรับลูกตัวเล็กแม่มีแต่คำชม สำหรับตัวโต ไอ้ธีร์นั้น ก็ฟังเหมือนแม่ไม่อยากรู้จักแล้ว ครั้งนี้ผมไม่ได้พูดอะไรกับแม่หรอก แต่ระบายให้เพื่อนน้องฟัง คือน้องต้นนั้นเอง  ผมเขียนว่า:
'เค้าคิดหนักมั้ง จะไม่มีวันหรอกที่พ่อแม่ฝรั่งจิตปกติจะพูดถึงลูกตัวเองในแง่ลบแบบว่า ได้คนหนึ่งเสียคนหนึ่ง แล้วผมไม่รู้ว่าคำว่า ป่วย หมายถึงอะไร ถ้าธีร์เป็นโรคซึมเศร้าก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ รักษาได้อยู่
แต่ธีร์อาจจะมีอาการหนักกว่านั้นก็ได้ แม่ถึงจะซึมเศร้าขนาดนี้ พวกเราจะไม่รู้หรอกเพราะไม่ได้เจอเค้าเป็นนาน เราเจอตัวแม่เมื่อวันก่อน เค้านั่งเงียบไม่คุยกับใครเหมือนคนคิดมาก
แต่เป็นยังไงก็ช่าง แม่ต้องสู้เพื่อลูกอยู่ดี ไม่ใช่ปล่อยทิ้งแม่งไปเลยอย่างที่ทำไปเหมือนเมื่อก่อน
แม่ดูเหมือนสงสารตัวเองมากเกินไป'
น้องต้นเห็นด้วยกับผมและตอบว่า
'สงสารธีร์จริง'
แม่อาจจะเครียดเรื่องเงินที่ไปคิดว่าอยากลืมทิ้งลูกไปแบบนี้
ในช่วงต้นเดือนมิถุนาแม่โพสถึงค่าใช่จ่ายที่บ้าน
สรุปแล้วเค้าเป็นหนี้สูง
ผมรู้จากธีร์ก่อนหน้านี้ว่า แม่มีพี่สาวที่ค่อยเจือจุนช่วยครอบครัวด้วยทรัพย์สินเงินทอง
ผมไม่รู้ว่าพี่สาวนี้จะช่วยมากน้อยแค่ไหน
แต่รายการค่าใช้จ่ายที่แม่เผยให้ดูค่อนข้างสูง
แม่เขียนว่า:
คุณอายุ 35  คุณมีอะไร
มีหนี้สามแสน
ลูกป่วยเดือน 15,000
คนเล็ก 11,000 ดอกรายเดือน รายวัน บราๆ
จะไปต่อ  รึพอ  ก็คิดเอา

ข้อนั้นที่พูดถึงว่าลูกป่วย หมายถึงธีร์ และแสดงว่าแม่ออกค่ารักษาน้อง เดือนละ 15,000 บาท (ธีร์ไม่ได้รับการบำบัดตัวฟรีดังที่ไอ้เต๋าบอกกันวันนั้น เค้าไม่รู้อะไรเลย)
ส่วนที่แม่ทิ้งท้ายว่า จะไปต่อหรือพอ นั้น
ถ้าอยากเลิกเป็นแม่ ลูกจะทำยังไงนะจ๊ะ
แม่คงรู้เองว่าแกต้องทำหน้าที่การเป็นแม่ต่อไปนั้นเอง
ในช่วงนี้ผมยังตามรอยโซเชียลแม่ไปเรื่อยเพราะเราไม่มีข้อมูลจากคนอื่นที่บ่งบอกว่าาธีร์เป็นยังไง
ผมสนใจเฉพาะโพสที่เกี่ยวกับน้องนั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ต้องทนไว้อย่างเดียว
ครั้งต่อไปที่แม่พูดถึงธีร์ ก็เป็นในวาระวันเกิดเค้า วันที่ 20 กรกฏา
แม่โพสขึ้นรูปลูกสมัยเด็กน่ารักๆของเค้าให้ผู้ฟอลโล่ดู
พร้อมกับรูปปัจจุบันของน้องที่สถานบำบัดที่จังหวัดราชบุรี
ที่มีคนถ่ายไว้
ผมไม่แนใจว่าแม่ไปหาเค้ารึป่าว เพราะตัวแกไม่ได้ปรากฏกับลูกในรูปนั้น

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (9)


แม่น้องอวดเสื่อยืดที่ทำสกรีนรูปหน้าเฟซตัวเอง

ภาพเดิมๆถ่ายไปที่โชคชัย ที่แม่เอาไปทำเสื้อสกรีน


นอกจากใช้เวลาเล่นวันละหลาย ช.ม นั้น
แม่ก็เน้นเอกลักษณ์เป็นคนอยากดังทางโซเชียลด้วยเอารูปหน้าเฟซส่วนตัว ซึ่งเป็นรูปตัวแม่พิงรถแทรกเตอร์ในรีสอร์ท แห่งหนึ่ง ประมาณนี้ ไปทำสกรีนเสื้อยืดไว้ และสวมใส่เสื้อยืดนี้ประจำถ้าจะออกไปข้างนอก เพื่อจะโปรโมทแบรนด์ตัวเอง
จะเอาเวลาเล่นขนาดนี้ที่ไหนว่ะ
-
แน่นอนอยู่แล้วถ้าจะเล่นหนักๆ ผู้คนสมาชิกในครอบครัวต้องเสียเปรียบ
เพราะแม่จะไม่ค่อยมีเวลาให้เค้า
เค้ามัวเอาเวลาลงทุนไปเล่นเฟซจนลูกๆ ต้องแย่งชิงกับเฟซเพื่อจะได้คุยกับแม่บ้าง
แม่คงแก้ตัวว่า เค้าใช้เฟซเป็นช่องทางทำมาหากิน เช่นขายเครื่องสำอาง ขายอาหาร ฯลฯ แต่บนพื้นที่นี้ แม่จะไปสู้กับพวก influencer และดาราที่ขายของพวกนี้ประจำตามเฟซได้ด้วยเหรอ ไม่น่าจะใช่ 
ค้าขายออนไลน์คงสู้กับการทำมาหากินแบบคนธรรมดาไม่ได้อยู่ดี
ในมุมมองผมการเล่นเฟซโดยหาคนมากดไลค์เยอะๆ ดูเหมือนเป็นวงจรปิดหรือเป็น echo chamber เลย สมมุติว่าแม่บอกว่า ฉันเก่ง
เสียงนั้นก็ไม่ทันกระจายออกที่ไหน แต่จะมีเสียงสะท้อนกลับมาว่า  ใช่แม่เก่งจริง' เพราะแฟนคลับเค้าต้องเห็นด้วยเหมือนหุ่นยนต์พูด
-
แต่ขอถามหน่อย
ถ้าแม่เก่งจริงทำไมลูกถึงเรียนจบไม่มีวุฒิการศึกษา
ถ้าเก่งจริงจะปล่อยให้ลูกติดยาได้ยังไง
ทำไมไม่ผลักตัวให้ลูกเค้าออกไปหางานทำบ้าง
แม่น่าจะรู้ความจริงว่าเค้าไม่เก่งหรอก 
ผมรู้จักครอบครัวๆ หนึ่งในซอยที่เก่งจริง
พ่อแม่เป็นคนทำงาน ไม่ไปเสียเวลาเล่นโซเชียลแต่ทำงานจริงๆ 
ลูกชายสองคนเป็นวัยรุ่นต่างเรียนดี ไม่เคยไปยุ่งกับยาเสพติดด้วย
เค้าเรียนพิเศษและทำกิจกรรมนอกโรงเรียนเกือบทุกวัน กลับบ้านดึกก็ยังทำการบ้านอีก
พ่อทำงานที่ท่าเรือ แม่ขายของ 
เค้าแยกทางไปแล้วโดยแม่ย้ายออกไปบ้านข้างนอกแต่เค้ายังโทรหาคุยกับลูกประจำ
พ่อกับลูกชายสองคน พักอาศัยอยู่กับญาติในซอยเป็นครอบครัวเล็กๆ และเพื่อนบ้านวุฒิ
บ้านไม่ห่างกันจากบ้านธีร์มาก แต่ลูกถูกเลี้ยงมาคนละรูปแบบกัน
ผมว่าครอบครัวนี้จะมีอนาคตรุ่งเรืองกว่า เพราะพ่อแม่เอาใจใส่ลูกและคุยกันรู้เรื่อง
รับหน้าที่เป็นเพื่อนลูก แต่พร้อมจะตีกรอบพฤติกรรมให้เค้าทำตามด้วย
พวกนี้แหละผมถือว่าเก่งจริง เพราะเค้ายอมรับว่าการเลี้ยงลูกต้องใช้เวลาและบางครั้งเป็นงานยาก แต่ไม่กลัวการลงมือทำและพร้อมที่จะสู้และเสียสละเพื่อลูกเสมอ
เค้าต้องเจอปัญหาบ้างเหมือนพ่อแม่ธรรมดา แต่ผมไม่เคยได้ยินคนในซอยพูดถึงตัวพ่อแม่หรือครอบครัวนี้ในแง่ลบ ไม่เหมือนแม่น้องธีร์ที่มีทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่เตือนผมประจำว่า 'อย่าไปยุ่งกับเค้า'เพราะแม่ชอบใส่อารมณ์กับคนอื่นฟรีๆ และเลี้ยงน้องไม่ดี
-
เราต้องผ่านไปหลายอาทิตก่อนที่ผมได้เจอแม่อีกที่
เราเจอเค้าที่หน้าซอกโต๊ะแปด นั่งตรอมใจคิดอยู่ร่วมกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคน
ผมขอโทษเค้าจากใจจริงเพราะรู้สึกผิดกับเหตุการณ์นั้น
'วันนั้นผมทำตัวเหี้ยจริงๆ ขอโทษนะแม่ ผมยังขอเป็นลูกสะใภ้แม่อย่างเหมือนเดิมผมบอกเค้า
แม่ยิ้มเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร หน้าแม่ดูเศร้าๆ เหมือนคนคิดหนัก
วันถัดไปแม่ปล่อยบล๊อคผมทางเฟซ แสดงว่าเค้าให้อภัยผมแล้ว
จากนั้นอีกไม่กี่วัน
แม่โพสข้อความที่แสดงว่าตอนนี้แกคิดมากจริงๆ โพสนั้นเกี่ยวกับน้องธีร์นั้นเอง

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (8)

แต่มึงกล้าทำก็ต้องกล้ารับด้วยนะจ๊ะ
บางคนอาจจะว่า ผมเสือกเรื่องชาวบ้าน แต่ผมเบื่อระอากับตัวแม่นี้แล้ว ที่ปล่อยละเลยลูกไปจนเค้าทำร้ายกับตัวเองและ (ตามที่เต๋าว่ายังต้องเจอทรมารตัวด้วย
ในช่วงนั้น ผมคิดแต่ว่า คงจะไม่มีใครดูแลน้องหรอกถ้าเราไม่ไปโวยวายเสียก่อน
แม่ไปฝากเค้าเอาไว้กับใครที่โน่นกันแน่  เราเห็นจากเน็ตว่า ราชบุรีมีสถานีบำบัดผู้ติดยาเสพติดเยอะพอสมควรแต่ไม่ค่อยมีใครให้บริการฟรีอย่างที่ไอ้เต๋าว่าไป
สถานที่บำบัดที่ให้บริการฟรี จะมีคุณภาพมีไหม
ผมโกรธจนพูดไม่ออก อยากบอกแม่ว่าผมเป็นห่วงลูกแต่พอเจอหน้าเค้าจริง ก็กลับพูดไม่ออกเกือบร้องให้แทน
แม่โมโหไม่แพ้กัน
'
ไมเคิลบุกบ้านแม่ได้ยังไง กูคิดอะไรอยู่ จะให้แม่เรียกตำรวจไหมแม่ท้าผมไป
แฟนเค้า เป็นทอมหน้าสวยตาโตเศร้าๆ เดินมาหาและพยายามปลอบใจ
'
ไม่เป็นอะไรเอาไว้คุยวันหลังก็ได้'
เมื่อผมพูดไม่ออก ผมต้องยอมใจถอยไปสักสองสามก้าวให้พ้นหน้าบ้าน
เสร็จแล้วแฟนแม่ลาผมไปแล้วก็ปิดประตูล๊อคไว้ไม่ไห้ผมป่วนอีก
เมื่อผมย้อนกลับไปนึกถึงดราม่านั้น ผมยังจำคำพูดสุดท้ายของแม่ก่อนเรื่องจบ ที่ฟังน่าตรึงใจจัง
เค้ายืนกลางห้องด้วยกับลูกตัวเล็กและแฟนทอมทั้งหมดสามคน แต่ดูเหมือนยืนเปลี่ยวเปล่าในโลกว้าเหว่คนเดียว ไม่มีใครช่วยหรือเข้าใจเค้าได้
'
แม่อยากอยู่คนเดียวเค้าขอด้วยอาการออดอ้อนและดูเหมือนอยากร้องไห้
เรารู้อยู่แล้วว่า แม่เป็นคน ไม่ชอบกังวล’ อย่างที่ธีร์เองเคยบอก
เค้าถึงปล่อยทิ้งปัญหาลูกจนบานปลาย
และทุกวันนี้ยังรู้สึกจนมุมอยู่เลย
ไม่รู้จะแก้ปัญหาลูกดื้อๆ ยังไงดีแล้ว
กระทั่งแกผลักเรื่องนี้ออกไปไกล ให้เป็นหน้าที่ของสถานบำบัดแล้ว
พอผมสะกิดใจให้แม่กลับไปนึกถึงเรื่องนี้โดยโพสเมสเซจนั้น แม่ก็เหมือนปรี๊ดแตกรีบบล๊อคผมเพราะอยากเลี่ยงเรื่องเจ็บๆ นี้ไป
ผมสงสารเค้าชั่ววูบหนึ่ง หายโกรธไปแล้วแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี
ผมกลับบ้านพร้อมกับรู้สึกผิดและช็อคกับนิสัยตัวเอง
ตั้งแต่ย้ายมาเมืองไทยผมไม่เคยน็อตหลุดใส่อารมณ์กับใครขนาดนั้น นอกจากกับแฟนตัวเอง
ผมรู้สึกอับอายจริง
ผมโชคดีที่แม่ไม่ได้ไปแจ้งความว่าผม (เกือบจะบุกบ้านเค้า
เค้าคงเข้าใจว่าผมเจตนาดี
เค้าน่าจะมีเวลาสิ้นหวังกับลูกเกือบบ้าไปแล้วเหมือนกัน
วันต่อมา ตามสไตล์ของแม่ที่ทำอะไรก็ต้องบันทึกไว้ให้แฟนคลับแกรับรู้ทางโซเชียล
เค้าลุกขึ้นไปว่าผมทางเฟซ (แต่ผมสมควรโดน)
เค้าเขียนว่า

‘#
เชื่อมั่ย ตอนนี้กูนี่จิตสับสนมากนะ  วันนึงดี วันนึงร้าย  วันๆนึงมีเรื่องให้คิดจนจะเป็นบ้า  บางวันนั่งกินข้าวอยุ่ดีๆก็มีคนบ้าเปิดประตูมาด่า

ต่อจากนั้นแม่ก็ไปโพสอีกว่า

‘#
มีคนบ้ามาเปิดประตูด่า
#
กูเชื่อว่างวดนี้กูจะถูกหวยรวยเป็นเศรษฐี อิเหี้ย



แต่พอมีผู้ฟอลโล่แม่ถามกลับว่า
 'ใครบ้า'
แม่ก็รักษาหน้าผมนิดหน่อยโดยตอบว่า 'คนที่ไหนไม่รู้'
ขอพักดราม่าในซอยนิดนึง หันไปพูดถึงบทบาทที่โซเชียลมีเดียจะเล่นในเรื่องราวนี้บทตอนท้าย
ผมกล่าวไปแล้วว่า แม่ชอบสร้างภาพทางเฟซว่าตัวเองเป็นคนเก่งและน่าสงสารในฐานะเป็นซิงเกิ้ลมัม
แต่ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้เล่นเน็ตเหมือนคนธรรมดานะ บางวันเค้าขึ้นโพสเป็นหลายๆรอบ
เป็นเซียนนักเล่นเฟซก็ว่าได้

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (7)

ผมตัดสินใจว่าจะเขียนคำอธิบายให้แม่
เพราะผมเป็นห่วงน้องจริง
ผมใช้เวลาเขียนคำอธิบายเป็นหลายวัน
เขียนเนื้อความเสร็จผมโพสขึ้นเฟซแม่
เมื่อส่งไปแล้วผมรอลุ้นให้เค้าตอบ
ผมรู้ว่า เค้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจที่ผมเสือกพูดถึงเรื่องลูกอยู่บนเฟซเค้า
แม่ใช้พื้นที่ไปขายของและสร้างภาพตัวเองให้ดูดี เค้าคงไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับลูกเลย
ก่อนหน้านี้ผมก็บล๊อคเค้าทางไลน์ และแม่ก็บล๊อคผมทางเมสเซนเจอร์กลับ ผมเลยไม่รู้จะคุยกันยังไงดี
แต่ผมยังหวังว่าเค้าจะเห็นใจความรู้สึกผม และเข้าใจว่าผมมีเจตนาดี
เนื้อความเมสเสจดังกล่าวเป็นอย่างนี้ (ผมจะสรุปเอาสั้นๆหน่อยเพราะเวอร์ชั่นเดิมยาวไปนิดหนึ่ง)

ร้านที่ผมเขียนแมสเสจถึงแม่
สวัสดีคับแม่
ผมเห็นโพสนี้เป็นหลายวัน ไม่แน่ใจว่าแม่หมายถึงผมด้วยรึป่าว
ไม่รู้จะตอบยังไงดีด้วยเพราะไม่ค่อยได้เล่นเฟซ
ที่แม่บอกว่าผม 'เป็นฝ่ายเริ่มก่อน'
ก็น่าจะใช่ ผมชอบใช้อารมณ์ก่อนคิด
ถ้าผมรู้ว่าลูกจะกลับไปเล่นอีก ผมคงจะรักษาคำพูดให้ดีกว่านี้
ผมไม่ได้โกรธแม่หรอก ผิดหวังมากกว่าที่เรายังคุยกันไม่ได้ทุกวันนี้
ผมขอให้กำลังใจทั้งแม่กับลูกนะครับ
ไม่อยากคิดว่าน้องต้องสู้คนเดียวที่โน่น
ผมพยายามคุยกับเค้า เพื่อจะเรียกสติน้องกลับไปอยู่กับพวกเราบ้าง
แต่ตอนนี้เราคุยกันปกติไม่ค่อยได้ เราชอบทะเลาะกันมากกว่า
แต่ผมบอกเค้าว่า ผมจะไม่ยอมแพ้ จะสู้กับปัญหานี้และช่วยเค้าจนอาการน้องดีขึ้น
เจอกันวันล่าสุด ผมถามเค้าว่า 'สมองนี้ยังใช้ได้อยู่รึป่าว' (ผมถามถึงตัวเค้าเอง ไม่ใช่สมองผม)
'
ใช้ได้อยู่น้องตอบอย่างหนักแน่น
ก่อนที่จะไล่ผมออกไปไกลๆ ตัว
ผมด่ามันกลับ (เราเริ่มเป็นดาราเล่นละครน้ำเน่าเสียแล้ว)
ผมรู้ดีว่าโรคซึมเศร้าเป็นยังไงเพราะเคยเป็น
เราคงรับมือกับอาการนี้ด้วยคนเดียวไม่ได้
โทษทีถ้าผมพูดถึงเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย รู้มั้ยว่าเมื่อแม่ทิ้งน้องคนเดียวที่บ้าน สภาพน้องเสื่อมลงมาก
เวลาแม่กลับมาอาการเค้าดูดีขึ้น เพราะแม่จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เค้าคิด
เราต้องอยู่ใกล้ชิดกับตัวเค้าตอนนี้
ถ้าผมยังช่วยแม่ได้...ติดต่อผมได้นะคับ รับรองไม่กวน
บายๆ ก่อนนะคับ
ผมมีเจตนาดี และหวังว่าจะได้รับการตอบรับดีด้วย
แต่แม่กลับไม่ชอบ
ผมโพสขึ้นเฟซแม่ไม่กี่นาที แม่จะบล็อคผมเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้พูดอะไรเลย
ผมแม่งเจอโชคร้ายอีกแล้ว
แต่ด้วยที่ว่า ผมใช้เวลานานมากที่ไปเขียนเรื่องนี้ เมื่อโดนบล๊อคไป ผมเกิดโมโหมากจนระงับอารมณ์อยู่ไม่ไหว
ผมนั่งอยู่ที่ร้านใกล้ออฟฟิซคนละฝั่งกับซอยอมร พอโดนบล๊อคก็รีบปั่นจักรยานวิ่งไปยังบ้านแม่เหมือนคนบ้า
พอไปถึงหน้าบ้านแล้วผมไม่ได้เคาะประตูแบบสุภาพ แต่ดันไปเปิดประตูแรงปั้งเลยโดยไม่แคร์ว่าคนข้างในจะว่ายังไง
ข้างในบ้านผมเห็นแม่ แฟนเค้า และลูกตัวเล็กนั่งกินข้าวกันอยู่
'
มึงบล๊อคผมได้ยังไงผมตะโกนจากหน้าประตูบ้านใส่แม่ ไม่กล้าก้าวไปข้างในบ้านหรอกแต่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ไม่รู้จะระบายความเครียดยังไงดี เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมคุย
ผมลืมตัวเองจริงๆจนทุกวันนี้จำไม่ค่อยได้ว่าเราพูดอะไรไปในสองสามนาทีนั้น ที่เราทำตัวบ้าๆบอๆ
น้อง บี วิ่งหนีหาที่หลบเมื่อผมเริ่มร้องตะกอนใส่แม่เค้า ทั้งแม่กับแฟนตาโตตกใจ
แต่ผมแอบสังเกตุว่า สองสาวตัวดีนี้ดูเหมือนว่า เค้าพึ่งร่วมหัวกันวางแผนทำร้ายกับความรู้สึกผม ที่บล๊อคผมไป
เค้าคงภูมิใจกับฝีมือแย่ๆของตัวมันเอง และไม่ได้นึกสักนิดว่า ผมจะกล้าไปหามันที่บ้าน

now, see here

job at the 7-11, back to rehab (6)

เพราะแม่ต้องเจอลูกบ้าง เห็นสภาพจิตก็น่าจะรู้แล้วว่าเค้าติดยา
การพาไปบำบัดตัวครั้งนี้ แม่มีเพื่อนช่วย
หนุ่มคนนี้ ชื่อวัด เคยเล่นยาเมื่อก่อนเหมือนกัน อาสาสมัครพาน้องไปบำบัดตัวที่จังหวัดราชบุรี
 วัดเคยไปรักษาตัวเองที่สถานบำบัดแห่งนั้น เมื่อไม่กี่เดือนก่อน และแนะนำให้น้องไปด้วย
ผมไม่รู้จักวัดส่วนตัว แต่เมื่อไม่นานนี้เอง ก็มักจะเห็นเค้าเดินมุ่งไปหาพวกเล่นยาที่ซอกโต๊ะแปดนั้นเกือบทุกคืน เป็นแหล่งเล่นยาแถวบ้านเรา ที่น้องธีร์ชอบไปนั่งเล่นด้วย
วัดมีลูกชายตัวเล็ก ที่ชอบตัวติดพ่อไปที่โน่นประจำ พอวัดทำธุระที่โน่นเสร็จเค้าจะเดินกลับไปด้วยกับลูก
ลูกเค้าเป็นเด็กที่มีไหวพริบดี  (ผมเล่นกับเค้าบ่อยที่หน้าบ้านวุฒิ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางกลับกับพ่อเค้าน่าจะรู้ว่าพ่อกำลังทำอะไรกับพวกมัน
ช่วงเวลานั้นก็น่าจะเป็นช่วงก่อนที่วัดไปบำบัดตัว
ในเวลาต่อมา หลังจากน้องเข้าบำบัดตัวที่ราชบุรีเรียบร้อยแล้ว ผมได้รู้จากเพื่อนว่า วัดแวะไปสอนธีร์ที่โน่นด้วย ว่าจะเลิกเล่นยายังไงดี และปรับตัวเป็นคนดีในสังคม
แม่กับธีร์ไปช็อปปิ้งกัน แม่โพสต์ไปในช่วงนั้นที่น้องถูกพาไปรับการบำบัดตัวรอบที่สอง โดยไม่ได้บอกผู้ติดตามเฟซเค้าว่า ที่จริงแล้ววันนั้นน้องเข้าบำบัดตัว เป็นรูปเก่า สภาพน้องแย่มากตอนนั้น (เหมาะกับการไปรักษาตัว ไม่ใช่ไปช็อปปิ้งหรอก แม่อยากนึกถึงเวลาดีๆมากกว่าละมั้ง ถึงเลือกโพสต์รูปหลอกคน)
สภาพตัวน้องจริงๆก่อนไปรักษาตัว
ตอนแรกพวกเรา ไม่ได้รู้เรื่องหรอกว่า แม่พาเค้าไปบำบัดตัวอีกครั้ง เพราะแม่ไม่ได้บอกใครในกลุ่มเพื่อนเค้า และน้องเองไม่มีโอกาสไปลาใครทั้งๆที่เราคงไม่ได้เจอกันอีกนาน
เวลาต้องผ่านไปหลายวันก่อนที่พวกเราสังเกตุเห็นว่าน้องไม่อยู่
เพื่อนบ้านและเพื่อนสมัยเด็กธีร์ คือน้องต้นนั้นเอง ยังไม่รู้เลยว่าธีร์ไปแล้ว
สุดท้ายผมได้ข่าวว่าน้องไปบำบัดตัวจากหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อเต๋า ที่รู้จักพวกเพื่อนแม่ร่วมถึงหนุ่ม วัด ด้วย
วันนั้นผมนั่งกินเหล้ากับเต๋า ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านวุฒิ
เค้าเล่าให้ฟังว่าคุณวัด ซึ่งเป็นเพื่อนแม่ธีร์ พาน้องไปบำบัดตัวเมื่อสองสามวันก่อน
เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้รับรู้ว่าเค้าไปรักษาตัว
เต๋าเล่าต่อว่า 
'คลีนิกบำบัดตัวนี้ให้บริการฟรี แต่เค้าทำโหดๆ แบบหักดิบ หมอไม่ได้ให้ยาช่วยคนเลิกยาหรอก ผู้ป่วยจะถูกล่ามโซ่ติดเสาไปเลยจนไม่มีอาการติดยาแล้วเค้าว่าไป
เต๋าเล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้พูดกวนหรือแกล้งให้ผู้ฟังสะเทือนใจหรอก (มั้ง...ผมมารู้ทีหลังว่าไอ้เต๋าพูดเพี้ยนและไขว้เขวเกือบทั้งเรื่องเลย) แต่ผมก็ยังตกใจและคิดมากอยู่ดี
ผมได้ไปดูแลน้องเหมือนเป็นลูกหลานเรา พอได้ยินข่าวที่ว่าน้องถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาทิ้งไปอย่างนั้น
ผมรู้สึกแย่
ไม่อยากคิดว่าเค้าจะโดนทุกข์ทรมารขนาดนี้
พอเลิกคุยกันผมแอบเดินไปที่หน้าบ้านแม่ แล้วก็ฝากคุณลุงเพื่อนบ้านเค้า ให้บอกแม่ว่า ผมอยากไปเยี่ยมน้อง เมื่อไรสะดวกขอพาผมไปหาลูกที่โน่นหน่อย
คุณลุงคงได้บอกแม่นั้นแหละ เพราะในวันถัดไปช่วงเช้า ผมเดินเข้าซอยและได้เห็นแม่คุยกับผู้ใหญ่ในศูนย์กลางชุมชนพอดี
แต่เมื่อแม่เห็นผมกำลังเดินไปหาปุ๊บ แม่วิ่งหนีออกไป จนผมตามไม่ทัน
เค้าวิ่งเข้าซอกแคบๆ ข้างๆตึก แล้วก็หันกลับไปมองดูว่า ผมกำลังเดินทันตัวเค้ามั้ย ก่อนโดดขึ้นแท็กซี่แล่นออกไปตามถนนพระราม 3
เรามีปัญหากันก่อนหน้านี้จริงและไม่ได้คุยเป็นเวลานานแล้วด้วย
แต่ผมคิดว่าเรื่องของลูกคงสำคัญมากกว่า ผมรู้สึกเสียดายที่เรายังคุยกันไม่ได้
ตอนเย็นๆวันเดียวกันเค้าขึ้นโพสเฟซในทำนองประชดผมว่า
ถ้ากูใจร้ายใส่ใคร
โปรดจงรู้ไว้
กูไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน
เค้าไม่ได้เอ่ยชื่อผม แต่เป้าหมายน่าจะเป็นผมนั้นแหละ
ซึ่งโพสนี้บ่งบอกว่าแม่คงรู้สึกผิดที่หนีผมไปนิดหนึ่ง
แต่อยากแสดงความไม่สบายใจมากกว่าที่เรายังบาดหมางใจกัน
ผมต้องอธิบายนิดนึงว่าแม่ใช้เวลาเยอะมากกับการเล่นโซเซียลจนเป็นชีวิตจิตใจเค้า
เค้ารู้กติกาการเล่นดี คืออยากติเตียนหรือต่อว่าใครไป ไม่ต้องระบุชื่อเค้าก็ได้ คนที่เป็นเป้าหมายการโจมตีนั้นคงจะรู้เอง
เพราะฉะนั้นจะมีแต่คนโง่ๆอย่างฉันเท่านั้นที่จะเอาเรื่องแค่นี้ไปคิด แต่ฉันเอาไปคิดจริง
แม่รู้อยู่แล้วว่าผมสนิทกับลูกเค้าแล้วทุกวันนี้ยังเป็นห่วงอยู่ จะแกล้งผมทำไม

now, see here

โพส์ตเด่น

Mr Handsome returns

Mr Handsome เป็นผู้ชายไทยเกย์หนุ่มที่ เคยเขียนโพสต์ให้บล็อก Bangkok of the Mind หรือ BOTM2 (เป็นรุ่นพี่ของบล็อกฉบับนี้) เป็ นประจำหลายปีก่อน...

โพส์ตนิยม