Saturday 20 August 2022

เถ้ากระดูกเดินทางไกล (8)

Aerial view of Pottsville

ผมขอไม่ไล่เหตุการณ์ที่นำไปสู่น้องชายเสียชีวิต

หลังจากน้องชายเราตายไปแล้ว ทั้งพ่อแม่ ผมและ น้องสาวสองคนต่างรวมตัวกันที่ พ็อตสวิลล์ Pottsville แถบ Northern Rivers นั้น

เพื่อจะจัดการงานศพน้องชายเรา

แต่ไม่ได้ไปหาทางบ้านอดีตเมียเค้าหรอก

เพราะอีโทนี่เลิกคุยกับพวกเราก่อนหน้านี้

แต่งานอันดับแรกคือเราต้องเก็บสิ่งของส่วนตัวที่น้องทิ้งคาเอาไว้ในหลายแห่ง

(เดวิดเป็นเจ้าของบ้านลงทุนหลายหลัง หลังเลิกกับเมียเค้าหอบสิ่งของตระเวนพักไปทั่ว)

หน้าที่ของเรา เหมือนเราต้องสะสางงานที่คั่งค้างอยู่ตอนที่เค้าจากไป

เช่นช่วงต้นๆ เราตามหา จิตรกรรมอันหนึ่ง ที่เค้าฝากให้เอาไปเข้ากรอบให้ที่ร้านใกล้บ้าน

แต่ไม่มีใครรู้แน่เป็นร้านไหน

ซึ่งเราแวะไปถามดูหลายที่ แต่หาไม่เจอ

นอกนั้นเราต้องตามหา laptop น้องที่หายไปเช่นกัน

ที่เค้าน่าจะเอาเข้าซ่อม แต่ไม่มีใครรู้ว่า เอาไปซ่อมที่ไหน

ทั้งนี้เหมือนเราต้องใส่หมวกรับบทเป็นนักสืบกัน

เราได้เจอคนสำคัญๆ ในชีวิตประจำวันของน้องชาย

เช่นหมอเพื่อนร่วมหุ้นส่วน และ เจ้าหน้าที่พยาบาลในคลินิกเค้า

ผู้จัดการที่บ้านพักคนชราที่น้องทำงานด้วย

แม้แต่ครูที่ รร อนุบาลที่ลูกๆเค้า เรียนอยู่

ทุกคนช็อกกันหมดที่น้องเสียชีวิตกระทันหันแบบนี้

แต่พวกนี้ที่น้องชายเรารู้จัก

ช่วยเติมเต็มภาพชีวิตของน้องเรา

ว่าเค้าเป็นยังไงบ้างในวันๆสุดท้าย

พอเก็บข้าวของในบ้านที่น้องเราลงทุนซื้อไว้ ในที่พัก ที่คลินิก พร้อมกับอุปกรณ์ทำงาน ต่างๆ เสร็จแล้ว

ต่อจากนั้นเราหันไปดำเนินการเรื่องงานศพอีก ซึ่งก็ยุ่งเหยิงเหลือเกิน

-

ย้อนเวลากลับไปหน่อย หลังจากน้องเราแยกทางกับโทนี่และต่างฝ่ายต่างตัดสินใจว่าจะหย่ากันโดยเด็ดขาดให้ถึงที่สุด

น้องเราพร้อมกับทนายของเค้าเตรียมตัวเข้ารบในศึกครั้งนี้โดยจัดตั้งระบบทรัสต์ทางการเงิน

เอาไว้ดูแลลูกๆในอนาคตข้างหน้าเรื่องค่าเรียน ค่าประกันสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งทรัสต์จะรับหน้าที่ออกค้าใช้จ่ายนี้เองให้ลูกเป็นผู้รับผลประโยชน์ จนลูกต่างคนจะย่างเข้าอายุ 18 ปี

แต่เป้าหมายแฝงคือช่วยป้องกันเมียเข้ามาแย่งชิงสินสมรสเกินสมควร

ให้เป็นทรัพย์สินตัวเอง

พูดง่ายๆ น้องอยากทิ้งตังค์ให้ลูกๆของเค้า ไม่ใช่เมีย

ทั้งนี้เค้าจัดตั้งน้องสาวสองคนของเราให้เป็นทั้งผู้จัดการ (trustees) ของทรัสต์นั้น และเป็นผู้จัดการมรดกของพินัยกรรมเค้าไปด้วย

-

กลับไปที่ Pottsville นั้น

สำหรับขั้นตอนทางกฏหมายต่อ ที่เรียกกันว่า probate หรือการพิสูจน์ว่าพินัยกรรมถูกต้อง

เราต้องให้ทนาย ช่วยจัดการแบ่งแยกส่วนสินทรัพย์ รวมถึงบ้านและที่ดิน กรมธรรม์ประกันภัย

และหุ้นที่เค้าซื้อไว้ ระหว่างโทนี่และทรัสต์นั้น ในเวลาต่อไป

ทนายก็ต้องสะสางสถานประกอบการหรือขายของทิ้งไปตามหน้าที่

ฝ่ายทนายจะช่วยน้องสาวของผม ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก

มาดูแลเงินที่น้องฝากทิ้งไว้ในทรัสต์ ให้ลูกๆ ด้วยเป็นอีกแรงหนึ่งเช่นกัน

ซึ้งอดีตเมียชอบแย่งชิงเรื่องนี่เหมือนกัน

ทั้งๆที่รู้ว่าอะไรที่เค้าจะแย่งเป็นสินสมรสส่วนของเค้า ต้องออกจากวงเงินที่น้องเราทิ้งเอาไว้ให้ลูก

ก็เท่ากับว่าจะหยิบเอาของคนโน้นมาให้คนนี้ในวงเดียวกัน ซึ่งไร้ประโยชน์ทั้งนั้น

เรื่องแบ่งมรดกเป็นมหากาพย์ใช้เวลานานหลายปีถึงจะจบได้

โดยตลอดเวลานี้ อีโทนี่ไม่เคยยกหูโทรศัพท์คุยกับเราสักที

และไม่ยอมให้พ่อแม่ผม ไปเจอลูกๆเค้าด้วย

มีต่อ

เถ้ากระดูกเดินทางไกล (7)

Queenstown

ผมกับน้องชายได้มีโอกาสคุยถึงเรื่องนี้กัน แค่ครั้งเดียวเอง เมื่อครอบครัวเรารวมตัวกันฉลองวันเกิด 70ปี ของแม่ที่ Queenstown, New Zealand
ในเดือนพฤษภาคม 2012
วันนั้นเราออกไปเดินเล่นกัน พ่อแม่น้องสาวเดินแยกออกไปไหนกันไม่รู้
น้องชายกับผมนั่งรอเค้ากลับมา ที่เนินหญ้าในกลางเมือง
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้เปิดใจคุยเรื่องบาปที่ครูนั้นทำกับน้อง
น้องไม่ได้รอช้า พอนั่งปุ๊บเค้ารีบเข้าประเด็นเล
'อีแบรี่นี้เคยทำอะไรกับไมเคิลบ้างมั้ย'
Barrie Stewart ผู้ที่ทำน้องเรา เป็นเพื่อนของครอบครัวเรา
สมัยเด็กน้องชายกับผมเคยไปนอนค้างแรมที่บ้านเค้าด้วย
ผมจำได้อยู่ว่า มืออีแบนรี่คืบคลานเป็นไม้เลื้ยจริงๆ แต่โชคดีผมไม่ได้โดนอะไรมาก
'หนักสุด เค้าลูบขาผม ตอนอยู่บนรถเค้า' ผมตอบสั้นๆ
'ผมเคยโดนในรถเค้าเหมือนกัน' น้องบอก
แน่นอน น้องคงโดนหนักกว่าผมอีก แต่ผมไม่กล้าถาม (เอาเข้าจริงไม่อยากรู้ด้วย)
'ผมรู้ว่าแกเจ็บใจ แต่ถ้าเป็นไปได้ แกน่าจะมองไปข้างหน้า ไม่ต้องหมกมุ่นกับเรื่องนี้ เพราะแกยังเป็นคนเดิมๆของเรา' ผมเสริมให้กำลังใจเค้า
น่าจะเป็นคำแนะนำคำเดียวที่เราฝากไว้กับน้อง
อาจจะดูไม่พอ แต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะกิริยาสะท้อนกับเหตุการณ์แบบนี้ ทุกคนไม่เหมือนกัน
-

บ้านพ่อแม่ที่ Burringbar ใกล้บ้านน้องชาย

ย้อนกลับไปถึงเดือนกุมภา ปี 2009 ตอนที่ข่าวพึ่งออกมา
เมื่อพ่อแม่รู้ว่าน้องโดน นาย Stewart ทำ
เค้าตกตะลึงและเสียใจด้วย ที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเป็นเวลาหลายปี
แต่พอเห็นแล้วว่าน้องเกิดอาการเครียด จิตใจไม่สบาย เริ่มทำอันตรายกับตัวเอง
พ่อแม่คิดว่า ต้องไปอยู่ใกล้กับเค้า
เค้าเลยตัดสินใจจัดซื้อบ้านใกล้กับบ้านน้องชายเรา และค่อยบินไปเที่ยวหาน้องชายเราทุกสามเดือน
จากบ้านหลักซึ่งยังอยู่ที่ไครสต์เชิร์ชนั้น
จะได้ช่วยเค้ารับมือกับเรื่องนี้ และปัญหาหนักขึ้นต่อเนื่องที่อีเมียก่อให้น้องหลังตัดสินเลิกกั
แกอยากให้ช่วยน้องปรับชีวิตให้ดีขึ้น
แต่ที่จริงแล้ว พ่อแม่คงทำอะไรไม่ได้มากนัก ถ้าน้องรับมือกับปัญหานี้เองไม่ไหว
เช่นเค้าไปหานักจิตวิทยาหลายคน ไปบำบัดตัวรักษาอาการกินเหล้าอีก แต่ไม่ค่อยได้ผล
พ่อแม่ต้องเห็นน้องเราหมดสภาพทางร่างกายและจิตใจไปเรื่อย
แม่บรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดดังกล่าวนี้

If only we had known more (about child sex abuse) when he needed the most support, and known how best to manage the situation in which we all found ourselves. It was just the most terrible time of our lives. We felt so isolated, desperate, confused and frightened.  
I cannot imagine how it must have been for him. And three years later, when he died unexpectedly and so suddenly, we could hardly believe it had happened. It felt as though we were watching from the sidelines, and this was someone else's family, not ours (อีเมล์ 6 ก.ย. 2017)

มีต่อ 

เถ้ากระดูกเดินทางไกล (6)

Aerial shot of Knox Grammar School, secondary campus

คนในวงจรวิปริตนี้ รู้เห็นเป็นใจให้กัน ว่าเค้าทำอะไรกันอยู่บ้าง
มักจะบอกเล่าแลกประสบการณ์กันในการเล่นกับเด็ก แลกรูปกัน แต่ถึงขนาดแลกตัวเหยื่อกันด้วยรึป่าวไม่รู้
พอรับรู้ความจริง พ่อแม่เด็กที่เป็นเหยื่อ ต่างรีบไปร้องเรียน รร เฉพาะครูใหญ่ ชื่อ Ian Paterson ที่ควบคุมทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน รร
แต่ นาย Paterson กลับไม่ยอมแจ้งตำรวจต่อ และไม่ได้เรียกให้อบรมหรือลงโทษคุณครูที่ถูกกล่าวหาด้วย
เค้าปกป้องชื่อเสียงของ รร เป็นอันดับแรก
คนในวงจรนี้เลยทำผิดไปเรื่อย กระทั่งพ่อแม่ที่สุดจะเป็นห่วงลูกๆ ต้องไปแจ้งตำรวจเอง
ต่อมาฝ่ายตำรวจติดต่อกับ รร โดยนาย Paterson โกหก อ้างว่าไม่รู้เรื่อง
หลังโดนจับไป นายสจ๊วต ผู้ที่กระทำน้องชายเรา ยอมรับผิดแล้วก็เผยรายชื่อผู้เป็นเหยื่อ รวมถึงคนที่แจ้ง รร 
ฝ่ายตำรวจเลยเรียกเหยื่อพวกนี้ห้ไปให้การ
พอกลายเป็นข่าวอื้อฉาว โด่งดังทั่วเมือง คดีจะคืบหนาเข้าใกล้ตัวน้องชายเรามากขึ้นไปเรื่อย
ข่าวนี้ออกต่อเนื่อง ดันกระตุ้นความจำทรงน่าอับอายที่น้องปิดบังเป็นเวลานาน
ว่า เค้าเคยโดนครูทำอัปลักษณ์ล่วงละเมิด ยากกว่านี่อีกน้องชายเราต้องยอมรับความจริงกับทุกคนด้วย
ฝันร้ายเค้าถูกฟื้นขึ้นเหมือนผีกลับมาหลอก
แต่พวกเราก็ลำบากเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะรับมือกันยังไงดีกับปัญหานี้
น้องชายเราหันไปกินเหล้าหนักขึ้นเป็นทางออกของเค้า
เพื่อจะกลบภาพหลอนในอดีต ที่เค้าเรียกว่า flashback หรือไฟวาบย้อนกลับ
ส่วนผมไม่รู้จะพูดถึงเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ยังไงดี
ถ้าไม่อยากซ้ำเติมเค้า

มีต่อ

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม