Sunday 18 October 2020

Maskless in Bangkok (part 1)

Corona-virus pudding a hit in Prague

'พกแมสมาด้วยรึเปล่า' แฟนถามก่อนที่ผมจะเดินออกไปนอกห้อง
'ใส่สิ' ผมตอบ ผมรู้หน้าที่ตัวเองดีแล้ว
เราต้องใส่เพื่อป้องกันทั้งตัวเราและคนอื่นด้วย
เมื่อ 4-5 เดือนที่แล้ว  ตอนที่โควิดกำลังระบาดหนักทั่วโลก
เค้ามักจะตักเตือนผมตลอด ให้ใส่แมสเพื่อป้องการเชื้อไวรัส Covid
นั้นใว้
จนผมรู้สึกหงุดหงิดรวมกับอารมณ์เกรงกลัวว่าอาจจะโดนด่าซะถ้าผมลืมหรือไม่ก็ดื้อไม่ยอมใส่ไปเลย
มีวันหนึ่งแฟนเจอผมปั่นจักรยานอยู่แถวๆในซอยคอนโดโดยผมลืมจัดการใส่แมสให้ปิดปาก
ผมดึงแมสลงให้คล้องคอสบายๆ โดยไม่ได้คิดจะเจอเชื้อโรค
และแน่นอนไม่ได้คิดว่าจะเจอแฟนข้างนอกด้วย
แฟนออกไปซื้อของและกำลังกลับห้องพอดี แอบเห็นผมใส่แมสมั่วๆผิดกับคำสั่งอย่างที่เคยบอกไว้
แต่ปิดปากไว้ไม่ได้พูดว่าอะไรตอนนั้น เก็บไว้จัดการผมที่ห้อง
เมื่อผมเดินเข้าประตูห้อง โอ้โห ก็โดนด่าเต็มแรงนะคับไม่ต้องห่วง
'ทำไมไม่ยอมใส่ อยากติดเชื้อเหรอมืง' เค้าว่ายังนี้
ที่จริงแล้วผมน่าจะสวมใส่ให้ปิดทั้งจมูกและปากตามที่แฟนแนะนำ
แต่ถ้าผมใส่มิดชิดขนาดนั้นผมหายใจยาก เลยมักจะดึงมันลงมาดีกว่า
เรียกว่าเราใส่ตามพิธีแล้วกัน แม้รู้ทั้งรู้ว่าต้องทำอะไรแต่กลับไม่ทำ
แต่วันนั้นผมรู้ด้วยว่า เราไม่น่าจะเจอใครข้างนอก
ถ้าสมมุติว่าเราออกไปข้างนอกห้องนั้น และได้เข้าชุมชน เราจะรีบใส่แมสให้ถูกต้อง
แต่ถ้าไม่มีคน ก็จะดื้อๆหน่อย
-
ในช่วงแรกๆที่ไวรัสแพร่กระจาย
พวกนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้อะไรมากนักหรอกเกี่ยวกับลักษณะพฤติกรรมของตัวไวรัสชนิดนี้
เพราะไวรัสตัวนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่
และถ้าเราออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้เจอใคร เรายังต้องใส่แมสอยู่รึป่าว
เรายังไม่รู้ว่าจะติดจากการสูดอากาศเฉยๆได้หรือไม่
เชื้อตัวฉลาดนี้
จะลอยตัวในอากาศหาโอกาสติดเหยื่อเพื่อจะสืบสายพันธุ์ถ่ายทอดตัวเองต่อไปได้รึป่าว
ตอนนั้นไม่มีใครรู้ (และตอนนี้ยังไม่แน่ใจอีก)
หรือว่า เราต้องไปสัมผัสกับคนที่ติดไวรัสไปแล้ว ถึงจะติดเองจริงๆ
โดยส่วนตัวเรามักจะเชื่อในมุมนี้มากกว่า
คือเวลาใกล้คน ก็ให้ใส่แมสเพื่อป้องกันใว้ก่อน
แต่ถ้าอยู่คนเดียวตัวลำพัง ไม่ต้องใส่ก็ได้ (ว่าแต่ถ้าลมพัดมาแรงๆ
ห้ามอ้าปากกว้างๆสูดอากาศเต็มที่ก็แล้วกัน)

now, see here

Wednesday 14 October 2020

The invisible plane

The invisible car in Die Another Day

ผมกำลังดันจักรยานเข้าลิฟท์คอนโด

น้องหนุ่มน้อยคนหนึ่งใส่แว่นใหญ่เบอเร่อดูเป็นเด็กเนิร์ด เดินเข้ามาพร้อมกันแล้วหันมาถาม 'ป๋าทำงานอะไรคับ เป็นเพื่อนบ้านกันหลายปีแล้วแต่ผมไม่เคยถามดู เป็นอาจารย์รึป่าว'
'ไม่ใช่หรอกลูก' ผมตอบอย่างเคร่งขรึมหน่อย 'ผมเป็นนักข่าวต่างหาก'
น้องเบิกตาใหญ่โต ผมแอบคิดว่าเค้าน่าจะประทับใจมั้ง แม้ว่าตัวเค้าเองเป็นเด็กเรียนระดับพีคเลยที่
 ม.จุฬา ก็ตาม
คนไทยที่ถามผมแนวนี้ และได้ยินว่าผมเป็นนักข่าว มักจะคิดเสมอว่า เราทำงานลงภาคสนามลุยหาข่าวในโซน
อันตรายอย่างน้องๆ นักข่าว CNN ที่ต้องค่อยหลบลูกกระสุนในย่านสงครานเป็นว่าเล่น
แต่ไม่นะคับ น้องไม่ได้คิดแบบนั้น
'อ๋อ ผมคิดว่าป๋าน่าจะมีรถรถยนต์ส่วนตัวหรือว่าอะไรแบบนั้น จะได้วิ่งไปหาข่าวให้ทันคับ'
ฟังแล้วเหมือนน้องตอบกวนตีน แต่ไม่ใช่ น้องอายแทนผมเฉยๆ ที่ชอบเข็นรถจักรยานเก่าๆไปไหนมาไหนตลอด
'บางครั้งมันไม่จำเป็นนะ' ผมรีบตอบแซงพลางคิดว่าเราต้องรักษาหน้าตัวเองหน่อย
'ผมอาจจะไม่มีรถหรูหราก็จริง แต่ผมมีเครื่องบินส่วนตัวจอดไว้ในที่ลานจอดรถ ผมว่านะมันน่าจะดีกว่าถ้าต้องวิ่งหาข่าวจริง
'เพียงแต่ว่า แกคงไม่เคยเห็นลำนี้มาก่อน เพราะเป็นเครื่องบินอำพรางตัว
'มีความสามารถพิเศษในตัวนะน้อง เชื่อพี่เถอะ' ผมว่าต่อ
'ผมมีปุ่มไว้กดให้ลำนี้หายไปจากสายตาคน ดั่งกับรถยนต์
ของ james bond ในหนัง die another day ที่พระเอก pierce brosnan เล่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเกษียร
'เวลาเค้าไม่อยากให้ผู้ร้ายเห็นรถยนต์ เค้าจะกดสวิตช์นี้ไป และรถจะหายตัวไปจากฉากเป็น invisible car เลย'
น้องดูกึ่งเชื่อ กึ่งไม่เชื่อ แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร
เราจะรอดูว่าเค้าจะว่ายังไง คงจะว่าอะไรไม่ได้แล้วในเมื่อเราตอบเว่อร์ๆขนาดนี้
จากนัั้นผมกำลังอธิบายว่า ลักษณะพิเศษของรถแบบนี้จะช่วยผมยังไงเวลาต้องหาข่าวลึกลับ
พลางชวนพาน้องไปดูลำสุดยอด และสุดลับๆล่อๆของผมเนี่ยที่ลานจอดรถกัน
แต่ประตูลิฟท์เปฺิดออกมาพอดี ต่างคนต่างต้องไปคนละที่กัน
เราเลยพลาดโอกาสพาน้องไป
แต่ไม่เป็นอะไร
งานนี้ใว้เจอกันครั้งหน้าเนอะไอ้เด็กหูเบาเซ่อๆ

Monday 18 November 2019

job at the 7-11, back to rehab (14, final)

น้องธีร์กับน้องชายพักอยู่ที่บ้าน

หาที่แจก: ข้าวของที่เราซื้อให้น้อง 
ทุกวันนี้สเตตัสแม่บอกว่า
‘ขอพบเจอแต่ความดี ไม่มีทุกข์
ธีร์และบีรักเรา.. ต้องรักลูกเราด้วย’
อ่านแปลกนิดหนึ่ง เหมือนผู้หญิงคนนี้ต้องเตือนใจตัวเองไว้ว่า หน้าที่การเป็นแม่เป็นยังไง  คือรักลูกนั้นเอง แต่ไม่เป็นอะไรเนอะ อิอิ

น้องกลับบ้านในช่วงกลางเดือนตุลาแล้วหลังจากรักษาตัวเสร็จ
เค้าดูแฮปปี้และแข็งแรงดี โตขึ้นเป็นหนุ่มแล้วด้วยไม่ใช่วัยรุ่นเรียวยาวเก้งก้างอย่างเมื่อก่อน
ครั้งนี้แม่ไม่ได้ปล่อยให้ลูกเสียเวลาในซอยอีก แต่รีบจัดงานให้เค้าทำ ที่โรงงานยาสูบ
ผมคุยกับน้องครั้งเดียว  แต่ไม่ได้ถามถึงประสบการณ์ที่โน่น
เพราะไม่อยากเสียเวลาพูดถึงอดีต
น้องให้ผมจัดเลี้ยงเหล้า เหมือนที่เราเคยทำก่อนที่เค้าไปบำบัดตัว
แต่ผมปฏิเสธไป
'ชีวิตพวกเราเปลี่ยนไปแล้วนะธีร์ ผมเลิกกินเหล้า ไม่ค่อยไปหาใครๆในซอยด้วย พวกเราจะไม่รอนิ่งๅให้แกกลับบ้านหรอก ชีวิตต้องเดินหน้าไป’
ผมพูดจริง ผมเลิกคบกับคนข้างในแล้ว ไม่เดินไปหาพวกวุฒิหรือต้นเป็นนาน
ก็เท่ากับว่า ดราม่าของน้องจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมไปยุ่งกับเรื่องในซอย
น้องดูไม่ประทับใจเท่าไรกับคำปราศรัยผม
‘เอาค่อยเลี้ยงวันหน้าแล้วกัน’ พูดแล้วเค้าเดินออกไปหาเพื่อนวัยรุ่นที่โต๊ะแปด
แต่ธีร์ไม่ต้องไปเฮฮากับผมอีกหรอก
ทุกวันนี้เราเห็นน้องเล่นเฟซบ่อย พยายามหาแฟนคบ
'กดไลค์ เป็นโสดนาน' เค้าเขียนแบบนี้เหมือนหนุ่มๆทั่วไปที่ยังไม่มีใครคบ
เราเห็นจากเฟซน้องด้วยว่า เพื่อนเค้าแวะไปหาน้องที่ห้อง
หรือพาเค้าออกไปเที่ยวพับใกล้บ้านเลย
ส่วนแม่เค้าก็กลับไปเล่นเฟซหนักๆ เหมือนเดิมคับ
-
สิ่งของที่ผมเคยซื้อให้น้อง ในช่วงชีวิตย่ำแย่เค้า ร่วมถึงเสื้อผ้า ร้องเท้าและของใช้ ทุกวันนี้วางทิ้งไปอยู่ใต้โต๊ะทำงานผม ยังเก็บไว้ในถุงเดิมๆ ที่ผมหยิบเอาจากห้องวุฒิวันนั้น ผมเห็นถุงนี้ตลอดเพราะมันอยู่ข้างๆเท้า ผมเตะเขี่ยมันบ้าง นึกถึงเจ้าของบ้าง
ผมเคยถามน้องว่า เค้าอยากได้ข้าวของนี้กลับคืนมั้ย แต่เค้าไม่เอา คงไม่อยากนึกถึงอดีตน่าเจ็บใจมั้ง
ออฟฟิซผมอยู่ใกล้วัดคลองเตยข้างใน สักวันผมจะเอาของเค้าไปแจกที่วัดดีกว่า เราเก็บของพวกนี้ไว้ไปให้รกตีนทำไม ไม่มีประโยชน์
ใจจริงผมไม่อยากเห็นน้องใส่เสื้อผ้าพวกนี้อีก เห็นที่ไรผมจะนึกถึงช่วงเศร้าๆ นั้นที่เค้าต้องสู้กับชีวิตคนเดียว
ผมอยากนึกภาพธีร์ตอนที่เค้าออกจาก ร.พ. หรือ ราชบุรีนั้นมากกว่า เพราะเค้ามีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมหวังว่าเค้าจะถือโอกาสนี้กำมือให้แน่นๆ เลย เค้าต้องสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ให้ได้ เพราะเค้าโตแล้ว จะไม่มีเวลาเหลือไปทำตัวเสียๆ อีก โชคดีนะ

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม