Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts
Showing posts with label บ้านกทม. Show all posts

Monday 18 November 2019

hospital visit (5, final)

เป็นเงินก้อนเล็กๆที่น้องจะเบิกได้ไปเรื่อยถ้าอยากซื้อของกินเล่น ตามกฏระเบียบผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดก็จะถือเงินไว้เองไม่ได้ เจ้าหน้าที่ต้องหักค่าใช้จ่ายออกจากยอดเงินที่เราฝากทิ้งไว้แทน ทำธุระฝากเงินเสร็จแล้ว เราพากันไปนั่งรอรถเมล์ที่ข้างหน้า รพ ต่อ  
ผมถือโอกาสนี้ไปหยิบจดหมายที่เขียนไว้ให้น้องเล่มหนึ่ง ไปส่งให้แม่อ่าน ที่จริงแล้วเราเขียนเล่มนี้ให้น้องเองแต่ตามกฏ ร พ เราส่งอะไรไปถึงมือน้องผู้รับการบำบัดตัวไม่ได้ ผมส่งให้แม่อ่านแทนให้เค้าออกความคิดเห็นบ้าง ใจความในเล่มดังกล่าวอยู่ข้างล่างครับ ผมอยากให้กำลังใจน้อง  แล้วก็เน้นประเด็นว่าหลังหายป่วยแล้ว เค้าต้องเตรียมตัวไปหางานทำ ผมเสริมใจความโดยแนะให้แม่คุยกับน้องต่อด้วย ว่าแม่น่าจะเสนอให้น้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวบ้าง ผมบอกว่า:
'ถ้าอยากให้เค้ารับผิดชอบตัวเองมากขึ้น เค้าต้องฝึกก่อน
แม่จะให้น้องไปซื้อของกินก็ได้ หรือไปจัดจ่ายพวกค่าไฟค่าน้ำของที่บ้าน
น้องจะรู้สึกเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

แม่ดูแปลกใจนิดหนึ่งที่ผมแนะไปเชิงนี้ เหมือนแกไม่คิดว่าจะให้ลูกช่วยแบ่งรับภาระดูแลบ้าน อย่างที่ว่าไปแล้ว แกชอบคิดว่าน้องยังเป็นเด็กอยู่ คงช่วยคนอื่นไม่ได้เพราะยังไม่โตพอ

เดี๋ยวเราจะรอให้เค้าออกก่อน แม่จะค่อยลองคุยดู เค้ายิ้มและบอกอย่างนั้น

ร้าน 7-11 ปากซอยอมรอยู่ขวามือบน

หวัดดีธีร์
ผมอยากเขียนถึงธีร์วันนี้ เพราะเราไม่ได้เจอกันนาน
ขอบอกไว้ก่อนว่าผมประทับใจที่แกยอมเข้า ร พ ไปรักษาตัว
ในช่วงแรกแกอาจจะกลัวเพราะทุกอย่างจะดูแปลกๆ
แต่ไม่เป็นอะไร อีกไม่นานจะชินตาปรับตัวเข้าได้แล้ว  
ผมเล่าให้ฟังไปแล้ว ผมเคยรักษาโรคซึมเศร้าที่ ร พ ต่างประเทศเหมือนกัน
ผมต้องคุยกับหมอบ่อยว่าอาการเป็นยังไง
แต่ผมได้เจอเพื่อนใหม่ในพวกผู้ป่วยด้วย และเราเล่นเกมส์กันที่ ร พ ทุกวัน
เวลาผ่านไปเร็ว ผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นไปเรื่อย
โดยรวมผมถือว่าการรักษาตัวนั้นเป็นประสบการณ์ที่ดี
คล้ายกับว่า ผมได้มีโอกาสเริ่มต้นตั้งตัวใหม่
กลับไปพูดถึงตัวแกเอง
พอกลับไปถึงบ้านได้แล้ว แกคงอยากทำงานใช่มั้ย
ก่อนที่ผมได้ไปรู้จักพี่วุฒิ ผมไปเที่ยวที่ร้านอาหารคาราโอเกะใกล้บ้านเราด้วย
ร้านอยู่ที่ซอยถนนจันทน์เก่า มุ่งออกจากเซเว่นไปสู่แยกทางซอยอมร-ถนนนางลิ้นจี่ 
วิ่งผ่านทางแยกนิดหนึ่งจะเจอร้านแล้ว
ผมไปเที่ยวสองสามที แล้วได้เจอหนุ่มเวียดนามคนหนึ่งที่ทำงานเป็นเด็กเสริฟ
ลูกค้าเอ็นดูเค้ามาก เค้าพูดไทยไม่เก่งแต่เอาใจใส่ลูกค้าดี
ธีร์สนใจทำงานร้านอาหารแบบนี้มั้ย
บางครั้งเราอาจจะพูดคุยกับลูกค้าไม่ถนัด แต่ไม่เป็นอะไร
ลูกค้าอาจจะยังชอบใจถ้าเราเอาใจใส่เค้าดี
ผมเจอลุงคนหนึ่งที่เป็นพนักงานในร้านด้วย 
พี่คนนี้ยืนหน้าร้านรับหน้าที่ดูแลเตาถ่านย่างไก่ 
แต่ไม่ค่อยได้พูดจากับใคร
สรุปแล้วร้านนี้มีคนงานหลากหลาย
มีตำแหน่งหลายรูปแบบด้วย
ถ้าแกสนใจจะไปสมัครงานแบบนี้ก็ได้นะ
แล้วแต่ชอบ
กลับไปที่ประเด็นเดิมๆ หน่อย
แกอาจจะรู้สึกกดดันที่ผู้ใหญ่เร่งให้ไปทำงานแล้วใช่มั้ย
อย่าพึ่งคิดอย่างนั้นหรอก
แกเองบอกว่าอยากทำงานแล้ว
พอเริ่มทำไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ไหวหรือทำไม่เป็นด้วย
เราต้องเรียนรู้วิธีการทำงานของเค้า ค่อยๆทำค่อยๆเป็นก็ดีแล้ว
ประสบการณ์นี้จะช่วยทำให้เราโตขึ้นอีกสเต็บหนึ่งเป็นหนุ่มแน่นอน
แต่แกต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม
ลองเข้านอนไวๆ จะได้ตื่นเช้าบ้าง
แล้วขอลองถามแม่ดูซิว่า จะมีอะไรให้เราช่วยที่บ้านมั้ย
แม่อาจจะให้ลูกไปซื้อของหรือจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านก็ได้
ลองทำดู  แกอาจจะชอบ
ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
แกจะเริ่มต้นเป็นคนใหม่ได้เหมือนกัน
บายๆก่อนนะ

ไมเคิล

now, see here

hospital visit (4)

มีผู้ป่วยที่โรงบาลนี้อีก (file)
ในขณะที่เราเดินไปยังตึกที่น้องพัก
ผมเห็นผู้รับการบำบัดอีกคนหนึ่ง น่าจะเป็นคนใหม่ที่พึ่งมาถึง ร พ เหมือนเรา
เป็นหนุ่มอายุประมานยีสิบปีต้นๆ เดินอยู่บนฟุตบาตไปอย่างมิดชิดกับพ่อแม่
โดยพ่อเดินพร้อมจับมือลูกที่ดูหน้าหม่นหมองเครียดเหลือเกิน
เพื่อปลอบใจเค้า
ผมสะเทือนใจ ไม่ใช่ทุกวันหรอกที่เราได้เห็นพ่อจับมือลูกโตๆ แบบนี้
เมื่อผมแอบสะกิดแขนแม่น้องธีร์ให้แกมองดูสภาพครอบครัวนี้ด้วย แม่ตอบว่า

น้องๆที่มา ร พ นี้ มักจะกลัวเพราะไม่เคยเข้ารับการบำบัดตัว จะเจ็บจะยากไหม เค้ายังไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรข้างหน้า พ่อแม่คงจะจับมือเค้า และปลอบโยนใจเค้าว่า 'ไม่ต้องเครียด ไม่เป็นอะไรนะลูก’   

เมื่อก่อนพ่อแม่อาจจะทะเลาะกับลูกคนนี้แรงก็ได้ แต่พอถึงวันนี้เค้าต้องเห็นใจน้องบ้าง เพราะเค้าอยู่ในที่แปลกๆ แล้วพอเดินเข้าห้องกลายเป็นผู้รับการรักษาตัวเรียบร้อย
จะไม่มีโอกาสได้เจอพ่อแม่อีกนานแล้วด้วย 
ผมนึกถึงกรณีของธีร์ ซึ่งสร้างปัญหาให้กับครอบครัวเค้าเหมือนกัน
โดยแม่เสียโอกาสที่ได้ให้ ธีร์ ขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวช่วยทางบ้านในฐานะเค้า
เป็นลูกผู้ชายคนโต
แล้วน้องชาย น้อง บี ก็ไปเสียโอกาสที่จะได้มี พี่ธีร์ ได้เป็นพี่ชายที่ดีน่านับถือด้วย
ทุกคนในครอบครัวเสียไปหมดเพราะยาเสพติดนั้นเอง เพียงแต่ว่าน้องธีร์ดื้อและใจอ่อนต่อชีวิตเกินไปที่ได้รู้ถึงการว่าเค้าสร้างปัญหาอะไรไป
แต่สักวันเค้าอาจจะคิดได้
-
วันนี้เราได้คุยกับน้องแค่ 15 นาทีเอง
พอตอนเที่ยงวันเข้า น้องๆผู้รับการบำบัดต้องเข้าแถวเดินไปห้องกินข้าวกัน
พอเสียงสัญญาณตอนเที่ยงดังออกมา
เค้าลุกขึ้น ยกมือไหว้แม่อีกที 
แล้วก็ถามเสียงอ้อนๆ ว่า
 'แม่จะกลับมาหาผมอีกเมื่อไรคับ'
เค้ายืนอยู่คนเดียวในห้องโถงใหญ่ดูน่าสงสารจัง ตอนที่เค้าอ้อนวอนแม่ น้องดูเป็นเด็กมาก เหมือนลูกหมดแรงต่อสู้ชีวิตแล้ว ยอมรับชะตากรรมตัวเองว่าต้องถูกกักขังไว้ที่ห้องนี้ไปอีกนาน คงรู้สึกเหงาเหลือเกินอยากกลับบ้านซะแล้ว ผมพอจะรู้ว่าน้องคิดอะไรในใจว่า
'ทำไมแม่ไม่พาผมกลับไปด้วยผมสงสารเค้าอีกชั่วแวบหนึ่ง แต่เราไม่ทันทำอะไรเพราะแม่หันหลังใส่ลูกรีบเดินออกจากห้องเลย โดยไม่หันกลับไปตอบหรือมองลูกอีกที
ผมต้องวิ่งตามแม่ให้ทันไปเข้าลิฟท์พร้อมด้วยกัน ผมถามแกว่า 'ทำไมแม่ไม่รอให้ลูกกินข้าวเสร็จก่อน แล้วค่อยไปคุยกันต่อ ไหนๆก็มาไกลขนาดนี้แล้ว
แม่ตอบว่า:

แม่ไม่รู้จะคุยอะไรดีแล้ว ธีร์ไม่ชอบอารมณ์เน่าๆด้วย 

ผมไม่แน่ใจแม่คิดอย่างนี้จริงรึเปล่า
คำพูดดังนี้ฟังเหมือนว่า แม่พยายามแก้ตัวมากกว่า ที่เค้าไม่ยอมกอดลูกหรือจุ๊บเค้าบ้าง
ก่อนที่เราลาลูกไป แม่ยื่นมือลูบหัวน้องแป๊บเดียวแค่นี้ แล้วก็รีบเดินออกไปทิ้งลูกให้ยืนไปแบบนี่แหละ
โมเมนท์น่ารักๆนั้นผ่านไปรวดเร็ว ในมุมความเห็นของผม แม่เลยพลาดโอกาสสมานรอยแตกร้าวที่ยังคาใจอยู่ระหว่างตัวตนกับลูกด้วย 
ส่วนน้อง เค้าต้องรออีกหนึ่งอาทิตย์ก่อนแม่จะกลับมาเยี่ยมเค้าอีกที
-
หลังจากลาน้องที่ห้องรักษาตัวแล้ว
เราแวะไปที่ห้องแอดมิดผู้รับการบำบัดอีกที เพื่อจะฝากเงินค่ากินไว้กับเจ้าหน้าที่
now, see here

hospital visit (3)

ผู้ป่วยที่โรงบาลนี้ (file)
'อ้อเหรอเค้าพูดแค่นี้พร้อมยิ้มๆ 
แม่ดูไม่สะเทือนใจเท่าไร เค้าคงรู้นิสัยลูกตัวเองดี
ผมสงสารน้องที่ต้องเข้ารักษาตัวในที่แปลกๆ แบบนี้
ผมนึกย้อนถึงช่วงเวลา 25 ปีที่แล้ว ที่ผมเป็นโรคซึมเศร้า ที่ต้องไปรักษาตัวที่ ร พ เหมือนกัน
เราต้องเข้าสถานพยาบาลหลายที่ก่อนอาการจะหาย
ผมถึงรู้ดีว่า น้องคงกลัวสภาพจิตตัวเอง ว่าบ้าจริงรึป่าวตอนนี้
นึกไปแล้วผมอยากลุกขึ้นไปโอบกอดน้องให้กำลังใจเค้า   
แต่ไม่กล้าแสดงออกขนาดนั้นให้คนอื่นเห็น
ก่อนไปถึง ร พ  แม่บอกว่าน้องได้มีเพื่อนวัยรุ่นในกลุ่มผู้ที่มาบำบัดตัวแล้ว
'แม่เองกอดเค้าไม่ได้ ไม่กล้าจับ เดี๋ยวน้องจะอายเพื่อนแม่ทักไป
-
กลับไปที่ห้องรับรองผู้เยี่ยมหน่อย พอแม่คุยกับลูกเสร็จ ก็มาถึงตาผมที่พูดบ้าง
แต่ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ก่อนมานี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นกึ่งกังวลใจว่าจะเจอน้องในสภาพจิตใจแบบไหน
แต่พอเจอตัวจริงแล้วก็เห็นว่าน้องดูเป็นเวอร์ชั่น เหงาๆ เศร้าๆ เล็กกว่าตัวเองจริงที่เรารู้จักข้างนอก ผมรู้สึกเศร้ากับเค้า
น้องดูกลัว คิดถึงบ้าน อ่อนแอ ไม่ค่อยพูดจากับใคร 
พอเห็นน้องนั่งเงียบๆ แล้วในสถานะดูเป็นเด็กมากขึ้น ผมเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว
'ในเรื่องของยาผมจะไม่ไปสั่งหรือห้ามธีร์ทำอะไรหรอก ผมแค่อยากให้แกกลับมาแข็งแรงดีผมบอกพร้อมกับร้องไห้
'ผมบอกตั้งแต่แรกแล้ว ผมเอาสามข้ออย่างเดียวนะลูก อยากให้แกมีความสุข ปลอดภัย และแข็งแรง'
น้องไม่ได้สะเทือนใจเท่าไรหรอก แต่กลับมองหน้าผมเหมือนอยากหัวเราะใส่ 
พอเราเห็นว่า น้องก็ยังทำตัวทะเล้นๆ ขี้เล่นๆ แบบเมื่อก่อนได้
ถึงจะอยู่ในที่แปลก แล้วก็นั่งอยู่กับแม่ที่พูดไม่ค่อยน่ารักก็ตาม
เสมือนหนึ่งว่าตัวธีร์ที่เรารู้จักมาก่อน
ผมรู้สึกโล่งใจเลย
สปีริตเดิมๆ ของน้องเริ่มฟื้นฟูกลับมาอีกแล้ว 
'บ้ารึป่าวเนี่ยะน้องคงคิดในใจ
-
มีจังหวะหนึ่ง เรายังคุยไม่เสร็จแต่หมอเจ้าของไข้แทรกตัวมานั่งคุยด้วย
เค้าถามน้องเล่นๆว่า 'อยากอยู่ต่อจนการรักษาเสร็จจริงอีกสามสี่เดือนโน่นไหมลูก'
หมอรู้ดีว่าจะไม่มีใครในกลุ่มผู้ป่วยอยากอยู่นานๆ หรอก เด็กส่วนใหญ่อยากกลับบ้านทันทีตั้งแต่มาถึง ร พ วันแรก
แต่พูดไปแล้วพวกหมอและบุรุษพยาบาลที่ ร พ นี้ ดูเป็นห่วงและเอ็นดูน้องๆผู้รับการรักษาดี 
แล้วผมไม่ต้องอายใครหรอกถ้าอยากร้องต่อหน้าเค้า
นอกจากแม่และผม ในห้องรับแขกวันนี้ ก็มีพวกญาติของน้องอีกรายหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
ถ้าผมร้องไห้ หรือน้องจะร้องเอง ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสถานบำบัดตัวแบบนี้
คือ ร พ บำบัดผู้ป่วยที่ติดยาเสพติด ต้องหันไปรักษาแผลใจระหว่างคนในครอบครัวผู้รับการบำบัดด้วย ไม่ใช้น้องๆคนเดียวหรอก
สมมุติว่ามีน้องคนนึงเล่นยา แต่คนในวงครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ที่น้องได้รู้จัก มักจะรับผลกระทบการเล่นยาของเค้าติดกันไปด้วยกลายเป็นวงกว้างเลย
ทุกคนโดนอิทธิพลยาเสพติดไปแทรกแซงทำร้ายกับชีวิตโดยทางอ้อม เช่น พ่อแม่อาจจะทะเลาะกับน้องบ่อยถ้าเค้าไม่ยอมเลิกเล่นจนครอบครัวแตกร้าวหรือแตกแยกกันก็ได้ 
ถ้าไม่พอใจเพื่อนอาจจะเลิกคบกับผู้เล่นยาอีก 
เค้าได้รับผลข้างเคียงจากการเล่นยาของน้องกันไปหมด 
บางครั้งการรักษาแผลใจระหว่างน้องกับคนในครอบครัวที่ถูกรับแรงความแตกร้าวไปอย่างนั้น ก็เริ่มต้นจากผู้รับบำบัดที่ยอมใจเข้าไปบำบัดตัว
เพราะที่น้องยอมไปรักษาตัวก็แสดงว่าเค้ารู้สึกผิด และพร้อมจะรับผิดชอบตัวเอง
เมื่อน้องยอมเข้ารักษาตัวและเลิกเล่นยา พ่อแม่ก็เริ่มสบายใจได้แล้ว 
เค้าจะเลิกต่อสู้กับลูกแล้ว ครอบครัวเค้าจะได้มีโอกาสพักหัวใจบ้าง
ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นตามการเวลาของมัน
แต่ถึงจะเป็นยังนั้นก็เหอะ การรักษาตัวน้องที่ติดยาก็ยังเป็นเรื่องยากหน่อยสำหรับทุกคน
น้องๆจะคิดถึงบ้าน
พ่อแม่ เพื่อน จะสงสาร 

now, see here

hospital visit (2)

โรงพยาบาลธัญญารักษ์อีกมุมหนึ่ง

หน้าที่ของเค้าคือรับคำสั่งอย่างเดียว ถ้าอยากได้รับฟรีดอมกลับมาเหมือนเมื่อก่อน เค้าต้องทำตัวดีๆ ที่นี่ก่อน ภายใต้ความคุมครองผู้ดูแล แม่ถึงจะยอมให้เเค้ากลับบ้าน
น้องอ้วนขึ้น 
เค้าจะบอกผมทีหลังว่า ผู้ได้รับบำบัดนอนอย่างเดียวส่วนใหญ่ ไม่ได้ออกไปข้างนอกหรือไปเจอใคร 
ธีร์ใส่เสื้อเชิร์ตและกางเกงสีชมพูล้วน
เนื้อผ้าเบาๆ คลายๆกับผ้าชุดนอน หรือชุดที่พวกผู้ต้องหามักใส่จากห้องขังไปขึ้นศาลดังที่เราเห็นในข่าว
เป็นชุดประจำของผู้รับการบำบัด ผู้คุมไม่ยอมให้น้องๆใส่เสื้อผ้าธรรมดามั้ง แต่ถ้าเค้าให้น้องๆ รับยากินนอนอย่างเดียวดังที่น้องพูด คงจะไม่มีใครว่าอะไรถ้าเค้าต้องแต่งตัวเป็นเด็กทั้งวัน
เพราะเดี๋ยวคงจะกลับไปนอนอีกแล้ว 'ตื่นแต่เช้าเราเข้าแถวกัน แล้วก็ไปนอนอีกน้องจะว่าอย่างนี้ไปในอีกหลายเดือนข้างหน้า เมื่อเพื่อนถามดูว่า ประสบการณ์ข้างใน ร พ นี้จะเป็นยังไง
-
แต่ขอกลับไปที่ศูนย์กลางบำบัดหน่อย 
ตัวแม่เริ่มคุยกับลูกก่อน โดยถามถึงสารทุกข์สุขดิบที่ฝรั่งเรียกว่า small talk
ต่อมาก็เริ่มสั่งสอนเค้านิดนึงประมาณว่า
'เมื่อกลับบ้านแล้วลูกต้องหางานทำช่วยเบาภาระแม่ แล้วห้ามไปยุ่งกับยาอีกสิลูก'
น้องพยักหน้ารับเหมือนเด็กเล็กไม่มีสิทธิ์ต่อร้อง
เค้าดูตั้งใจฟังแม่จัง เหมือนเราเป็นผู้เยี่ยมคนแรกที่ไปหาเค้าเป็นเวลานานแล้ว
เค้าเลยฟังทุกคำให้ดีๆ เพราะโอกาสเจอใครถูกจำกัดไว้ตามกฎเกณฑ์
ผู้รับบำบัดต้องถอนตัวออกจากชีวิตสังคมภายนอกถึงมารักษาตัวได้
เค้าไม่มีสิทธิ์โทรหาใครหรือรับแขกนอกจากพวกญาติและครอบครัวในเวลาที่กำหนดไว้
ถ้าแม่อยากเช็คอาการลูกว่าเป็นยังไง เค้าต้องโทรหาคุยกับหมออย่างเดียวในช่วงเย็นๆ ก็โทรหาคุยเล่นๆกับลูกไม่ได้
ผู้คุมไม่อยากให้ฝ่ายครอบครัวหรือเพื่อนไปยุ่งอะไรมากหรอกกับผู้รับการบำบัด
เพราะพูดจริงๆ บางครั้งครอบครัวเค้าเป็นตัวก่อปัญหาให้กับผู้รับการบำบัดเจอข้างนอก ที่พาเค้าไปเครียดและต้องไปรักษาตัวในที่สุด
น้องๆต้องมีเวลาพักหัวพักใจบ้าง ถ้าจะฟื้นตัวให้แข็งแรงกลับไปมีชีวิตปกติได้
-
กลับไปที่ตัวแม่อีกที เวลาคุยกับลูกเค้าพูดเร็วแทบหายใจไม่ทัน 
เหมือนเค้าท่องข้อความนี้ขึ้นใจก่อนออกไปเจอน้อง
หรือเค้าอยากให้ผมเห็นว่า เค้าเป็นแม่ที่ดีเป็นห่วงลูกจริง
แต่ก็มีช่วงหนึ่งการพูดที่พาผมฟังและชะงักเลย 
เมื่อแม่บอกลูกว่า 
'พอกลับบ้านแล้ว ไม่ต้องเรียนต่อนะ ตั้งใจหางานทำดีกว่าลูก
'ทุกวันนี้มีหลายคนเรียนจบสูงแต่หางานทำไม่ได้เพราะนายจ้างเอาคนมีประสบการณ์การทำงานมากกว่าวุติเฉยๆ แม่พูดอีก
อ้าว แม่ไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับลูกมาก่อนหน้านี้เลยเหรอ
เป็นเรื่องอนาคตเค้าเลยนะ เอาเปิดประเด็นใหญ่แบบนี้ไปคุยเมื่อเค้ายังไม่สบายอยู่ด้วยเหรอ
น้องไม่ได้ตอบอะไร คงจะชินไปแล้วกับตัวแม่คนนี้ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เค้า แต่กลับมาสนใจตอนหลังเมื่อเค้าเจอวิกฤต
น้องแค่พยักหัวรับรู้เรื่องอย่างเหมือนเคย
แม่สั่งสอนลูกเสร็จแล้ว เค้าหันไปอ้างถึงผมด้วย
ไมเคิลมาเป็นเพื่อนแม่วันนี้นะลูก
'ไม่ต้องกลัวไมเคิลหรอกลูก เค้ามาให้กำลังใจ’ แม่ว่าอย่างนี้
น้องมองหน้าผมแต่ไม่ได้พูดอะไร
ไมเคิลอยากให้ลูกเจอแฟนผู้หญิง หรือลูกแม่เป็นตุ๊ดจริงก็ไม่เป็นอะไร แม่เสริมเอง
เปิดประเด็นมั่วอีกแล้ว ทั้งผมและน้องตกตะลึงไม่รู้จะตอบยังไง
น้องนั่งเงียบอีก ไม่ได้พูด แต่ไม่ยอมสบหน้าผมด้วย
ตอนที่เรายังเดินทางมาหาเค้าวันนี้ ผมเตือนแม่ว่า  
'ผมรู้จักครอบครัวแม่เป็นหลายปีแล้ว แต่รู้มั้ยผมไม่เคยเห็นแม่อยู่กับธีร์ และแม่ไม่เคยเห็นผมอยู่กับเค้าด้วย ว่าเราจะคุยยังไง
'อย่าพึ่งตกใจถ้าผมกับลูกพูดเสียดสีกันบ้าง เราพูดตรงไปตรงมาไม่ค่อยรักษาหน้ากัน ทะเลาะกันบ่อยก็มี' ผมพูดต่อ

now, see here

hospital visit (1)


หน้าตึกหลักโรงพยาบาลธัญญารักษ์

หน้าตึกมินิมารด์โรงพยาบาลธัญญารักษ์ในวันนั้นทีแม่และผมไปหาน้อง  












แม่และผมไปเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ด้วยกันแล้ว
หลังจากแม่พาน้องไปแอดมิดเมื่อออาทิตย์ก่อน
เค้าอยากเดินทางกลับไปเยี่ยมลูกอีกที เลยชวนผมไปด้วยกันเป็นเพื่อน
ร พ แห่งนี้ ชื่อเต็มคือสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี
อยู่ที่จังหวัดปทุมธานี
การเดินทางก็ต้องใช้เวลาประมาณ  2-3 ชม
ผมนัดไปหาแม่ที่บ้านแต่เช่า เพราะต้องเดินทางไปหลายต่อ 
เราออกไปด้วยกันโดยนั่งแท็กซี่ไปยังสถานีรถไฟใต้ดินคลองเตยก่อน 
มุ่งหน้าไปสู่สถานีจตุจักร
ต่อจากนั้น เราขึ้นรถมินิบัสอีกต่อ
พอไปถึง ร พ เวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว
ออกจากรถเราต้องเดินสะพานลอยข้ามถนนใหญ่
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นรูปร่าง ร พ แห่ง ชื่อดังนี้
โครงการดูใหญ่มโหฬารจริงๆ
เราเห็นจากเว็บเค้าว่า ร พ นี้ อยู่บนพื้นที่กว้างขนาด 240 ไร่ เลย
ผมเห็นตึกหลายหลัง กระจายออกเป็นระยะๆ ในพื้นที่ลึกๆ
ท่ามกลางต้นไม้สวยๆ ที่ปลูกขึ้นไปทั่วให้บรรยากาศดูสบายตาหน่อย
เหมือนแคมปัสมหาวิทยาลัยที่มีตึกสร้างขึ้นมิดชิดไปกับต้นไม้ใบหญ้าแผ่ทั่วไป
แต่เราสังเกตด้วยว่าตึกพวกนี้ มีขนาดเตี้ยะไปหมด
ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้รับการบำบัดที่กำลังจิตตกอยู่
ตึกสูงอาจอันตารายต่อชีวิตเค้า
-
พอเดินเข้าไปในตึกต้อนรับแขก
แม่มุ่งไปหาเจ้าหน้าที่ก่อน
'เราต้องเอาชื่อไมเคิลลงทะเบียนเป็นผู้เยี่ยมลูก เพราะครั้งที่แล้วแม่ลืมแอดชื่อเธอแม่บอกผม
เหมือนรู้ซะก่อนว่า สักวันเค้าจะพาผมไปหาลูกเค้าด้วย
วันนั้นพาน้องไปส่ง แม่มาพร้อมกับเพื่อนบ้าน ชื่อ เต้ ที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้
แต่วันนี้ อยู่ดีๆ แม่มาด้วยกับฝรั่งเป็นเพื่อน
'ฉันจะบอกว่า ไมเคิลเป็นแฟนแม่นะเค้าบอกแบบกระซิบๆ เข้าหู
'คนไทยชอบคิดมากอยู่แล้ว เค้าคงจะเห็นเธอเป็นฝรั่งแล้วก็สงสัยว่าเรารู้จักกันยังไง'
ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะว่าเราชอบเล่นมุกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
ตอนที่เราเดินในซับเวย์กัน ผมและแม่เดินควงแขนกันในลักษณะเป็นแฟนกันนั้น คนไทยจะได้มีอะไรมองจ้องกันบ้าง
แต่แม่เรียกผมขำๆ ว่า เป็นลูกสะใภ้เค้า คือเป็นแฟนของลูกต่างหาก
ไม่ใช่แฟนของแม่ อิอิ
-
เอาล่ะ ก็ลงชื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้เราต้องเดินไปหาศูนย์กลางบำบัดผู้รักษาตัว
ซึ่งตึกน้องอยู่ไกลหน่อยเหมือนกัน เราต้องเดินไปอีก 10 นาที
เค้าอยู่ร่วมกับผู้บำบัดอีกประมาณ 20 คน
พอมาถึงตึกแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำให้เราลงชื่อกันอีกที
ตามระบบเราต้องฝากกระเป๋าและของส่วนตัวเอาไว้ในล๊อคเกอร์เค้าด้วย
เค้าให้เราทิ้งทั้งหมดเลย ทั้งแบ็คแพค กระเป๋าตังค์โทรศัพท์มือถือ ร่วมกับขวดน้ำเปลาที่เราซื้อไว้จิบๆ แก้ความร้อน
ทำเสร็จแล้ว เราขึ้นลิฟท์ไปหาน้องที่ชั้นบน
พอถึงหน้าห้องโถง เราต้องลงชื่ออีกทีก่อนเจ้าหน้าที่โต๊ะรับแขก ส่งลูกน้องไปเรียกธีร์ให้ออกมา
ในขณะที่เรานั่งรอธีร์มา ผมได้ยินเสียงเด็กเล่นปิงปองกันแว่วขึ้นมาเบาๆ จากที่ลึกๆ ในห้อง
เจ้าหน้าที่เดินไปหาน้องที่ห้องรวมใหญ่ข้างในแล้วเรียกเค้าออกมา
ผมเห็นร่างเค้าลุกขึ้นแล้วเดินจากจุดไกลนั้นออกมา
เป็นครั้งแรกที่ผมจับตามองหน้าน้องเป็นหลายอาทิตย์
น้องยกมือไหว้แม่และผม แล้วก็นั่งลงเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรกับใคร
แต่ไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก ผมเห็นจากตาเค้าที่ดูโหยหาความอบอุ่นว่า น้องคิดถึงบ้านจัง
แต่ในฐานะเป็นผู้รับการบำบัด ก็กลายเป็นเด็กมีสิทธ์จำกัด
จะไปว่ากับใครหรือเรียกร้องอะไรมากเป็นไปไม่ได้

now, see here

โพส์ตเด่น

20plus club (Postscript 3, final)

แคปชั่นก๊อปจากเน็ต: โรงพยาบาลตำรวจบริเวณสี่ แยกราชประสงค์ ปี พ.ศ. 2542 แจกเสร็จ น้องก็นั่งรอจ่ายบิลอยู่ข้างๆผม มือน้องสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า...

โพส์ตนิยม